โบรกฯ แนะ"ซื้อ/ถือ"BGH คาดกำไร Q3 ฟื้นรับอานิสงส์หวัด 09-ต่างชาติเข้า

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday August 6, 2009 16:07 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

โบรกเกอร์ แนะ"ซื้อ"หรือ"ถือ"หุ้น บมจ.กรุงเทพดุสิตเวชการ(BGH)แม้คาดว่ารายได้และกำไรในไตรมาส 2/52 จะลดลงจากไตรมาสแรก(QoQ)และจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน(YoY) เนื่องจากเริ่มเห็นแนวโน้มการฟื้นตัวของธุรกิจโรงพยาบาลในช่วงไตรมาส 3/52 จากการระบาดโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 และเชื่อว่าลูกค้าต่างชาติจะกลับเข้ามาใช้บริกการมากขึ้น ตามภาวะเศรษฐกิจทั้งในประเทศและนอกประเทศที่ดีขึ้น รวมทั้งการท่องเที่ยวก็ฟื้นตัวขึ้น ขณะที่ราคาหุ้นก็ยังมี upside สูง

          โบรกเกอร์          ตำแนะนำ          ราคาเป้าหมาย(บาท/หุ้น)
          สถาบันวิจัยนครหลวงไทย  ซื้อ               32.00
          บล.ยูไนเต็ด           ถือ               27.00
          บล.เคจีไอ            ซื้อ               26.60
          บล.ฟินันเซียไซรัส       ซื้อ               26.50
          บล.เกียรตินาคิน      ซื้อเมื่ออ่อนตัว         25.00
          บล.เอเซียพลัส         ถือ               24.80

นักวิเคราะห์ บล.เคจีไอ คาดว่า BGH จะรายงานกำไรสุทธิไตรมาส 2/52 ที่ 295 ล้านบาท ลดลง 13.1% YoY และ 35.1% QoQ เนื่องจากจำนวนคนไข้ลดลง และ ค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ต่อรายที่ลดลงทั้งคนไข้ใน(IPD)และคนไข้นอก(OPD) จากการใช้กลยุทธ์ตรึงราคาค่ารักษาพยาบาล

แต่คาดว่าไตรมาส 3/52 ผลประกอบการจะดีขึ้น เพราะปกติก็จะเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจโรงพยาบาล และยังคาดหวังว่าคนไข้ต่างประเทศจะปรับเพิ่มขึ้น ทำให้เชื่อว่าช่วงครึ่งปีหลังจะมีผลประกอบการดีกว่าครึ่งปีแรก ตามภาพรมภาวะเศรษฐกิจที่ดีขึ้นและจำนวนคนไข้ต่างประเทศมีแนวโน้มสูงขึ้นจากโรงพยาบาลในเครือ BGH ที่ตั้งอยู่ในแหล่งท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม ยังคาดว่าทั้งปีกำไรจะลดลงจากปีก่อน

"กลุ่มนี้ข้อดีคือราคาหุ้นปรับขึ้นมาไม่เยอะ ปรับขึ้นน้อยกว่าตลาดอยู่ ก็ยังมี upside แต่กลุ่มนี้จะให้วิ่งเหมือนบิ๊กเคปก็ไม่ได้ และเห็นว่าคาดการณ์ Earning ครึ่งปีหลังดีกว่าครึ่งปีแรก และราคายัง Underperform หุ้นก็ยังเป็น Laggard อยู่"นักวิเคราะห์ กล่าว

สถาบันวิจัยนครหลวงไทย(SCRI) มองว่า ผลกระทบจากความไม่แน่นอนทางการเมืองที่เกิดขึ้นในช่วงเดือนเม.ย.52 ทำให้ BGH มีแนวโน้มประกาศกำไรสุทธิใน Q2/52 ลดลง 12% yoyเป็น 300 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม กำไรที่ลดลงดังกล่าวคาดจะเป็นจุดต่ำสุดในปี 52

และทิศทางของผลประกอบในครึ่งหลังปี 52(2H/52)มีแนวโน้มกลับมาเติบโตอย่างโดดเด่น เนื่องจากการแพร่กระจายของโรคไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ ทำให้ผู้ป่วยมีความใส่ใจในสุขภาพและร่นระยะเวลาในการเข้าตรวจรักษาเร็วขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อเนื่องให้อัตราการเข้ารักษาตัวในช่วงที่เหลือของปีสามารถทรงตัวได้ใกล้เคียงกับระดับ 80% ในปัจจุบัน

และการฟื้นตัวของผู้ป่วยต่างชาติที่จะเริ่มกลับเข้ามาตามฤดูกาลช่วงปลายปี ปัจจัยข้างต้น ส่งผลให้ SCRI ยังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 52 ที่ 1,888 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% จากปีก่อน

สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานในอนาคต SCRI ประเมิน การแพร่กระจายของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ที่ยังมีอยู่คาดว่าจะทำให้การเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลกลายเป็นเรื่องใกล้ตัวและมีความสำคัญมากขึ้นในอนาคต และ SCRI ประเมิน BGH ที่มีเครือข่ายทั่วประเทศจะเป็นหนึ่งในกลุ่มโรงพยาบาลที่ได้รับประโยชน์สูงสุด

"การแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ช่วยผลักดันให้ธุรกิจโรงพยาบาลในช่วง 2H/52 กลับมาขยายตัวโดดเด่นอีกครั้ง และ SCRI ประเมิน BGH เป็นกลุ่มโรงพยาบาลที่มีเครือข่ายครอบคลุมทั่วประเทศ ส่งผลให้สามารถรองรับความต้องการเข้าพักรักษาตัวที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยหนุนให้กำไรใน 3 ปีข้างหน้าเติบโตเฉลี่ย 15%"บทวิจัย ระบุ

ส่วน บล.ฟินันเซีย ไซรัส คาดกำไรสุทธิ BGH ในไตรมาส 2/52 ที่ 319 ล้านบาท ลดลง 29.8% จากไตรมาสแรก และลดลง 6.0% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน มีปัจจัยจากผลของฤดูกาล รวมถึงปัญหาเศรษฐกิจโลก และความวุ่นวายทางการเมืองที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่อเนื่องทำให้ปริมาณผู้ป่วยที่มาใช้บริการยังคงหดตัว โดยเฉพาะผู้ป่วย IPD ซึ่งเป็นกลุ่มที่มี Margin สูงขณะที่ผู้ป่วย OPD มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น 5% จากปีก่อน ส่วนหนึ่งเป็นผลจากโรคไข้หวัด 2009 ทำให้ผู้ป่วยชาวไทยมาใช้บริการเพิ่มขึ้น

ในปีนี้คาดอัตรากำไรขั้นต้นที่ระดับ 42% ลดลงจากไตรมาสก่อนที่ระดับ 42.7% และช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ระดับ 44% โดยมาร์จิ้นที่ลดลงเป็นผลจากการที่บริษัทมีการทำโปรโมชั่นด้านราคาบวกกับจำนวนผู้ป่วยที่มาใช้บริการยังคงปรับตัวลดลง

ด้านนักวิเคราะห์ บล.ยูไนเต็ด ก็ประมาณการรายได้ในไตรมาส 2/52 ที่ 5 พันล้านบาท ลดลง 2% YoY และ 6% QoQ และสัดส่วนรายได้จากกลุ่มผู้ป่วยในลดลงเหลือ 54% ทำให้อัตรากำไรจากการดำเนินงาน(EBITDA Margin)ชะลอตัว จึงคาดว่ากำไรสุทธิในไตรมาส 2/52 อยู่ที่ 286 ล้านบาท ลดลง 16% YoY และ 37% QoQ

อย่างไรก็ตาม มองว่าแนวโน้มในไตรมาส 3/52 จะกลับมาดีขึ้น จะปัจจัยกระตุ้นของการเกิดระบาดของไข้หวัด 2009 ที่ขยายวงกว้างขึ้น จึงยังคงตัวเลขกำไรทั้งปีที่ 1,588 ล้านบาท

ทั้งนี้ BGH ปัจจุบัน มีโรงพยาบาลในเครือกว่า 17 แห่งในประเทศไทย และ 2 แห่งในประเทศกัมพูชา โดยปี 51 มีสัดส่วนรายได้แบ่งเป็นจากลูกค้าชาวไทยราว 64% และต่างชาติ 36% ของรายได้ทั้งหมด


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ