นายเชาวลิต เอกบุตร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอส ซี จี เปเปอร์ จำกัด ซึ่งบ.ย่อยของบมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) คาดว่า รายได้ในปี 52 ในธุรกิจกระดาษจะปรับลดลง 10-15% จากปีก่อน แม้ว่าในช่วงครึ่งแรกที่ผ่านมาจะมียอดขายลดลง 20-25% เนื่องจากปีนี้ บริษัทได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว แต่แนวโน้มมีอัตราการเติบโตในส่วนกระดาษถ่ายเอกสาร และ กระดาษคุณภาพระดับสูง
"ไตรมาส 3 คาดว่ารายได้จากธุรกิจรายได้จากกระดาษใกล้เคียงกับไตรมาส 2 เนื่องจากความต้องการยังมีอยู่ต่อเนื่อง แต่ไตรมาส 4 จะต้องรอดูภาวะเศรษฐกิจว่าจะฟื่นตัวจริงหรือไม่ หากฟื้นตัวก็น่าจะส่งผลดีต่อธุรกิจกระดาษของปูนใหญ่" นายเชาวลิต กล่าว
อย่างไรก็ตาม บริษัทพยายามที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆที่เกี่ยวกับกระดาษในระดับพรีเมี่ยม โดยได้สร้างแบรนด์ "IDEA WORK" มาต่อยอด จากที่บริษัทได้ทำแบรนด์ "IDEA GREEN" ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี
ทั้งนี้ คาดว่าจากการเริ่มทำการตลาดแบรนด์ใหม่ "IDEA WORK" เมื่อต้น ส.ค.ที่ผ่านมา จะได้รับการตอบรับอย่างดี และบริษัทตั้งเป้าทำรายได้สำหรับแบรนด์ "IDEA WORK" จำนวน 1 พันล้านบาท ภายใน 1 ปี (นับจากส.ค.52)
สำหรับราคาเยื่อใยกระดาษ ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลัก นายเชาวิลต กล่าวว่า ขณะนี้ราคาได้ปรับเพิ่มขึ้นจากต้นปี โดยเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 100 เหรียญ/ตัน โดยราคาเยื่อใยสั้นมีราคาประมาณ 500 เหรียญ/ตัน และเยื่อใยยาวมีราคาราว 600 เหรียญ/ตัน ส่วนราคาเศษกระดาษปรับเพิ่มขึ้น 160-170 เหรียญ/ตัน จากต้นปีอยู่ที่ 110 เหรียญ/ตัน ซึ่งราคาเป็นไปตามกลไกตลาดที่มองว่าภาวะเศรษฐกิจจะกลับมาดีขึ้น ทำให้ราคากระดาษปรับตัวสูงขึ้นตาม แต่ทางบริษัทไม่ได้มีการปรับราคาขาย กลับเน้นสร้างผลิตภัณฑ์ที่สร้างมูลค่าเพิ่มมากกว่า
นอกจากนี้ บริษัทจะมีกำลังการผลิตใหม่ในไตรมาส 4/52 จากโรงงานกระดาษที่เวียดนาม ซึ่งคาดว่าเบื้องต้นจะเริ่มผลิตได้ในจำนวน 5 หมื่นตัน/ปี จากกำลังการผลิต 2.2 แสนตัน/ปี ซึ่งบริษัทจะทยอยผลิตตามความต้องการ ประกอบกับบางส่วนระหว่างทดสอบเครื่อง
นายเชาวลิต กล่าวยอมรับว่า เครือซิเมนต์ไทย (SCG) ยังคงเจรจาเพื่อเข้าซื้อกิจการกระดาษในแถบประเทศอาเซียน แต่ยังไม่สามารถระบุเวลาได้ว่ามีข้อสรุปได้เมื่อไร ขึ้นกับการบรรลุข้อตกลงร่วมกัน