บมจ.เอสไอเอส ดิสทริบิวชั่น(ประเทศไทย)(SIS)คาดว่าจะสามารถรักษายอดขายในปี 52 ให้อยู่ในระดับใกล้เคียงกับปีก่อนที่ทำยอดขายราว 1.2 หมื่นล้านบาท แม้ว่าภาพรวมธุรกิจไอทีจะไม่เติบโตขึ้นจากผลกระทบภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวลงอย่างมาก อย่างไรก็ตาม ช่วงไตรมาส 2/52 คาดว่ายอดขายของบริษัทจะเติบโตขึ้นจากไตรมาส 1/52 และสูงกว่าไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยสินค้าที่มียอดขายโดดเด่น คือ คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค และยังคาดว่าไตรมาส 3/52 จะทำยอดขายได้ดีขึ้นอีก
นายสมชัย สิทธิชัยศรีชาติ กรรมการผู้จัดการ SIS เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า ยอดขายไตรมาส 2/52 คาดว่าจะทำจุดสูงสุดใหม่ ซึ่งเป็นปกติที่ธุรกิจไอทีไตรมาส 2 จะดีกว่าไตรมาส 1 ประกอบกับสินค้าที่ได้รับความนิยมอย่างคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คปีนี้ขยายตัวได้ดีขึ้น เพราะราคาปรับลดลงไปมาก ทำให้บริษัทต่าง ๆ หันมาสั่งซื้อมากชึ้น รวมทั้งกลุ่มนักเรียนนักศึกษาก็หันมาใช้งานเพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งจณะนี้ยอดขายคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คมีสัดส่วนอยู่ที่ 30% และเชื่อว่าจะยังเติบโตต่อเนื่องงในอีก 2-3 ปี
นอกจากนั้น สินค้าในกลุ่มเน็ตเวิร์กก็ขยายตัวมากตามการเติบโตของตลาดบริการอินเตอร์เนตบรอดแบนด์ โดยเฉพาะ high speed internet ซึ่งผู้ให้บริการลดราคาและแข่งขันกันสูง ส่งผลทำให้จำนวนผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นมาก และมีการซื้ออุปกรณ์เน็ตเวิร์กไปใช้งานมากขึ้น เพื่อตอบสนองการใช้งานในปัจจุบันที่นิยมใช้คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คเชื่อมสัญญาณเข้าอินเตอร์เนตผ่านอุปกรณ์เน็ตเวิร์ก
นายสมชัย กล่าวว่า ถึงแม้ไตรมาส 2/52 ยอดขายของบริษัทจะทำจุดสูงสุดใหม่แล้ว แต่ก็ยังเหลืออีก 2 ไตรมาสในปีนี้ เพราะโดยปกติไตรมาส 3 จะทำยอดขายได้ดีที่สุด แต่ปีนี้ค่อนข้างยากลำบาก เพราะมีตัวแปรหลายตัวทั้งเสถียรภาพของรัฐบาลและเรื่องปัญหาเศรษฐกิจ มีทั้งบวกและลบ แต่ก็มีหลายคนออกมาเตือนในแง่ลบ "ครึ่งปีหลังโดยทั่วไปถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงหนักๆ ถ้ารัฐบาลอยู่ได้ตลอดปี ไม่มีประท้วง หรือเศรษฐกิจข้างนอกมีอะไร ก็คาดว่ายอดขายเราจะมากกว่าครึ่งปีแรก"นายสมชัย กล่าว
บริษัทประมาณการยอดขายในปีนี้ไว้อย่างน้อยใกล้เคียงกับปีก่อนที่มียอดขาย 1.2 หมื่นล้านบาทเศษ โดยปกติก็จะมองภาพไว้ใกล้เคียงกับภาพรวมอุตสาหกรรมไอที ซึ่งเมื่อปลายปี 51 ถึงต้นปี 52 เคยคาดไว้ว่าปีนี้จะเป็นปีแรกที่ไม่มีการเติบโต ซึ่งอาจจะทำให้ยอดขายของบริษัทไม่โตหรืออาจจะทำได้ดีกว่าตลาดเล็กน้อย เพราะส่วนหนึ่งบริษัทได้มีการปรับปรุงธุรกิจและมีการลงทุนเพิ่ม
ในด้านกำไรสุทธิปีนี้ก็น่าจะเท่ากันหรืออาจดีขึ้นเล็กน้อยจากปีก่อนที่มีกำไร 206.62 ล้านบาท คงไม่ได้แย่ลง โดยอัตรากำไรขั้นต้น(gross margin)อาจจะสู้ปีที่แล้วที่อยู่ในระดับ 6.1% ไม่ได้ แต่เราก็ได้พยายามลดค่าใช้จ่ายไปได้มาก
*ขยายสาขาใหม่ภาคใต้-มองโอกาสลงทุนขยายช่องทางธุรกิจ
นายสมชัย กล่าววา ในปีนี้บริษัทมีแผนเปิดสาขาใหม่ในพื้นที่ภาคใต้ หลังจากเปิดสาขาใน จ.เชียงใหม่ไปแล้ว ซึ่งขณะนี้ลังมองหาพื้นที่ที่เหมาะสมใน จ.ภูเก็ตกับ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ส่วนการเปิดสาขาในจังหวัดอื่น ๆ เรากำลังลังเลอยู่ เพราะต่างจังหวัดยังมีปริมาณการใช้สินค้าไอทีค่อนข้างน้อย
"ยอดขายต่างจังหวัดตอนนี้สัดส่วนประมาณ 10% กว่าๆ แบบ conservative แต่เราคาดหวังว่าน่าจะถึง 20% ก็จะขึ้นมาอีกมากถ้าเราขยายจริงๆ"นายสมชัย กล่าว
บริษัทยังมองหาโอกาสลงทุนใหม่ ๆ ทั้งในบริษัทย่อยและเข้าไปถือหุ้นในบริษัทอื่น ๆ ที่มีธุรกิจเกี่ยวข้องกัน ซึ่งหวังผลทั้งในแง่การลงทุน และในแง่ของการสนับสนุนธุรกิจหลัก โดยก่อนหน้านี้บริษัทได้เข้าไปลงทุนใน บริษัท เอสไอเอส เวนเจอร์ เพื่อลงทุนในธุรกิจอื่น ๆ ซึ่งจะให้ผลตอบแทนกับบริษัทในรูปเงินปันผล
"เราลงทุนไป 60 ล้านบาทเมื่อเดือนที่แล้ว คาดว่าอีกหลายปีกว่าจะได้เงินปันผล สาเหตุที่เราเข้าไปลงทุนเพราะเห็นว่าธุรกิจค้าส่งที่ทำอยู่มีธุรกิจต่อเนื่องเยอะ หลายธุรกิจที่เราคิดว่าไม่อยากทำเองแต่เกี่ยวข้องกับเรา ก็เลือกใช้วิธีไปเป็นพาร์ทเนอร์กับเขา เพราะเราไม่ถนัดที่จะทำเราทำไม่เก่ง ก็ใช้บริษัทนี้ไปลงทุนแทน"นายสมชัย กล่าว
"ที่ไม่เลือกลงทุนเยอะ ๆเพราะไม่ใช่ความตั้งใจของเราที่จะเข้าไปบริหาร จึงคืดว่าไม่เหมาะ และเราไม่ได้อยากเป็นเจ้าของธุรกิจนั้น อย่างที่เราไปลงทุนใน Hardware House ก็จะช่วยเราอ้อมๆ โดยบางครั้งเรามีสินค้าที่อยากจะหาที่ขาย แต่หาไม่ได้ โดยเฉพาะสินค้าแปลกๆใหม่ ถ้ามีอย่างนี้เราก็ขอร้องกันง่ายขึ้น"นายสมชัย กล่าว
ปัจจุบันบริษัทมีนโยบายจ่ายปันผลที่ 40% โดยปีที่แล้วจ่าย 0.35 บาท/หุ้น ซึ่งในปีนี้ก็ยังจะมีการจ่ายเงินปันผลตามปกติ แต่จะจ่ายในอัตราเท่าใดขึ้นกับการพิจารณาของคณะกรรมการและต้องดูภาระการลงทุนด้วย เพราะปีนี้เราลงทุนไปแล้วในบริษัทย่อย 60 ล้านบาท