บมจ.ปูนซิเมนต์นครหลวง(SCCC)เปิดเผยว่า ในอนาคตบริษัทฯ คาดหวังว่าโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐจะสามารถเสริมความแกร่งของเศรษฐกิจในครึ่งปีหลัง และส่งผลให้เศรษฐกิจในปี 53 มีอัตราการเติบโตขึ้น และเนื่องจากเริ่มมีสัญญาณของการปรับตัวขึ้นของราคาเชื้อเพลิง SCCCง จึงได้ตัดสินใจประกาศปรับราคาปูนซีเมนต์สูงขึ้นในทุกตลาดที่บริษัทฯ ดำเนินการอยู่
บริษัทฯ ยังคงดำเนินการในโครงการที่มีความสำคัญในเชิงกลยุทธต่างๆ อย่างต่อเนื่อง อาทิ โครงการผลิตไฟฟ้าจากไอร้อนที่เกิดจากขบวนการผลิตปูนซีเมนต์ โครงการบริหารพลังงานทดแทนและวัตถุดิบทดแทนของจีโอไซเคิล รวมทั้งการเพิ่มคุณค่าของการบริการ ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ปูนอินทรี คอนกรีต อะกรีเกต ตลอดจนคอนวูด เพื่อตอบสนองทุกความต้องการให้กับลูกค้า ในส่วนโรงงานมอร์ต้า ก็ได้เริ่มเดินสายการผลิตอย่างเต็มกำลังแล้วเช่นกัน
SCCC ระบุว่าถึงแม้อุปสงค์ของปูนซีเมนต์ในช่วงไตรมาสที่ 2/52 จะลดลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้ราคาปูนซีเมนต์ในตลาดลดต่ำลงมาโดยตลอด แต่บริษัทสามารถเพิ่มกระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงานขึ้นได้ถึง ร้อยละ 13 เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว
สำหรับยอดขายรวมของบริษัทฯ ในไตรมาส 2/52 ที่ 4.920 พันล้านบาท ต่ำกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปี 2551 ร้อยละ 5.7 หรือเท่ากับ 5.217 พันล้านบาท เนื่องจากอุปสงค์ของปูนซีเมนต์ทั้งในประเทศ และต่างประเทศลดลงอย่างต่อเนื่อง อัตรากำไรสุทธิจากการดำเนินงานลดลงร้อยละ 17.2 เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสที่ 2/51 อยู่ที่ร้อยละ 21 สืบเนื่องมาจากสภาวะผันผวนของตลาดที่มีดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง
แต่ในขณะเดียวกัน มาตราการปรับลดค่าใช้จ่ายที่เข้มงวดและการบริหารเงินทุนหมุนเวียนอย่างรัดกุม สามารถช่วยให้บริษัทฯมีกระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงานเป็นจำนวน 838 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.2 เมื่อเปรียบเทียบกับยอดกระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงาน 740 ล้านบาทในช่วงเวลาเดียวกันของปี 51
เมื่อเดือนมิ.ย.52 SCCC ได้รับการประเมินระดับ “A" จากสถาบัน Fitch Ratings ได้ดำเนินการขายหุ้นกู้ ระยะเวลา 4 ปี ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4.50 รวมมูลค่า 4 พันล้านบาท ซึ่งได้รับการจองเต็มจำนวน ทำให้มั่นใจได้ถึงสภาพคล่องของบริษัทฯ ในอนาคตข้างหน้า
การแบ่งปันรายได้จากการขายสุทธิรวม ส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นบริษัทใหญ่ในไตรมาส 2/52 ซึ่งเท่ากับ 695 ล้านบาท หรือคิดเป็นกำไรต่อหุ้นเท่ากับ 3.02 บาท เปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2551 ซึ่งรายได้สุทธิรวมส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นบริษัทใหญ่อยู่ที่ 768 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 3.34 บาท
ทั้งนี้ คณะกรรมการบริษัทฯ ได้อนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในอัตราหุ้นละ 6.00 บาท ซึ่งจะชำระในวันที่ 31 ส.ค.52 โดยวันลงบันทึกจะเป็นวันที่ 20 ส.ค.52 และวันปิดบัญชีเป็นวันที่ 21 ส.ค.52