นายวีระยุทธ กิตตะพาณิชย์ กรรมการผู้อำนวยการ บมจ.สมบูรณ์ แอ๊ดวานซ์ เทคโนโลยี(SAT)เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า บริษัทคาดว่าจะสามารถสรุปออร์เดอร์จากลูกค้ารายใหม่ทั้งค่ายมิตซูบิชิและซูซูกิ ภายในไตรมาส 3/52 หลังจากได้จัดส่งตัวอย่างสินค้าประเภทชิ้นส่วนรถยนต์อีโคคาร์ และเสนอราคาให้กับทางมิตซูบิชิและซูซูกิ หลังจากที่ได้รับการสั่งออร์เดอร์ชิ้นส่วนอีโคคาร์จากฮอนด้าแล้ว
นอกจากนี้ ยังได้รับออร์เดอร์ผลิตชิ้นส่วนให้กับคูโบต้า ซึ่งเป็นชิ้นส่วนเครื่องยนต์เพื่อการเกษตร(Non-auto)ในช่วงปลายไตรมาส 1/52 รวมเป็นวงเงิน 4.5 พันล้านบาท แต่จะเป็นการทยอยทำในในปีนี้มูลค่า 300 กว่าล้านบาท โดยจะทยอยรับรู้ภายในปีนี้ และออร์เดอร์จากคูโบต้าทยอยเพิ่มต่อเนื่อง 3-4 ปี ซึ่งในเบื้องต้นออเดอร์ปีหน้าอีกประมาณมูลค่า 500 ล้านบาท
นายวีระยุทธ กล่าวว่า จากปัจจัยดังกล่าวจะส่งผลดีต่อผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/52 และไตรมาส 4/52 หลังจากผ่านจุดต่ำสุดในไตรมาส 2/52 โดยมองว่ารายได้ในไตรมาส 3/52 จะเติบโตขึ้นจากไตรมาส 2/52 ประมาณ 25% ขณะที่ไตรมาส 4/52 คาดว่าจะสูงขึ้นอีก 10-15%
อย่างไรก็ตาม แม้บริษัทจะได้รับออเดอร์เข้ามาใหม่ แต่ก็คงไม่สามารถทำให้รายได้ทั้งปีกลับมาดีขึ้นได้ โดยคาดว่าจะยังคงหดตัวในระดับ 30-35% เพราะในครึ่งปีแรกออร์เดอร์ลดลงไปมาก ไตรมาส 1/52 ต่ำกว่าที่คาดไว้ 10% และไตรมาส 2/52 คิดว่าต่ำกว่าที่คาดไว้ 10%
สำหรับปี 53 เห็นสัญญานการกลับมาเติบโตค่อนข้างมาก โดยคาดว่ายอดขายจะเติบโต 10% ตามแนวโน้มการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์ และจากยอดขายที่ส่งสินค้าให้กับทางคูโบต้า พร้อมทั้งคาดว่ากำไรสุทธิก็จะเพิ่มขึ้นประมาณ 20% เนื่องจากบริษัทมีอัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นมาในระดับ 60-70% ก็ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นดีกว่าปีนี้
นายวีระยุทธ กล่าวว่า บริษัทเห็นแนวโน้มการขยายตัวของสินค้าในกลุ่ม Non-auto หลังจากบริษัทได้รับออเดอร์จากคูโบต้าต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้สัดส่วนรายได้จาก Non-auto เพิ่มขึ้นเป็น 20-25% ในระยะเวลา 3-4 ปีข้างหน้าจากปัจจุบันที่มีสัดส่วนอยู่ที่ 1-2% เป็นการช่วยลดความเสี่ยงทางธุรกิจให้กับบริษัท รวมทั้งยังอยู่ระหว่างการศึกษาชิ้นส่วนอื่นๆที่ไม่ใช้รถยนต์เพิ่มขึ้นอีก แม้ปัจจุบันบริษัทจะมีการผลิตชิ้นส่วนตู้เย็นและชิ้นส่วนเครื่องซักผ้า แต่ยังก็มีปริมาณน้อยมาก
"ตอนนี้เราคงโฟกัสที่คูโบต้าเป็นหลัก เพราะเราเป็นรายใหญ่ที่ดูแลเขาเกือบหมด เราเชื่อว่าวอลลุ่มการผลิตใน 4 ปีข้างหน้าจะเพิ่มขึ้นเป็น 200% และด้วยแนวโน้มการกลับมาฟื้นตัวของธุรกิจรถยนต์น่าจะทำให้เห็นสัญญานการเติบโตที่ค่อยๆ ดีขึ้น แม้ในปีนี้รายได้จะลดลงมากถึง 30-35% แต่ก็ยังถือว่าดีกว่าภาพรวมอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศที่ปีนี้ยอดผลิตรถยนต์จะลดลง 40% เหลือประมาณ 9 แสนคัน จากปี 51 ที่ผลิต 1.39 ล้านคัน" นายวีระยุทธ กล่าว
ในส่วนของตลาดส่งออก บริษัทมีแผนจะเปิดตลาดที่ประเทศอินเดียมากขึ้น โดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มสปริงขด ซึ่งจะใช้ในรถกระบะ หรือ ชิ้นส่วนรถอีโคคาร์ บริษัทคาดว่าใน 2-3 เดือนข้างหน้าจะมีข้อสรุปออเดอร์ นอกจากนี้ ยังได้ส่งตัวอย่างสินค้าให้กับบริษัทญี่ปุ่นศึกษาด้วย รวมทั้งบริษัทในสหรัฐฯ แต่การประเมินเบื้องต้นพบว่าการส่งสินค้าไปขายที่สหรัฐมีต้นทุนค่อนข้างสูง
นายวีระยุทธ กล่าวว่า บริษัทยังคงวางงบลงทุนในปี 52 ที่ 379.1 ล้านบาทเหมือนเดิม แม้สัญญานการฟื้นตัวจะเริ่มดีขึ้น โดยเงินลงทุนดังกล่าวจะแบ่งเป็นการลงทุนผลิตชิ้นส่วนตามออร์เดอร์ของคูโบต้า 287 ล้านบาท และที่เหลืออีก 92.1 ล้านบาทใช้ในงานวิจัยและพัฒนา(R&D)ซึ่งในปีนี้จะเน้นไปที่เครื่องจักรในการทำสปริงขด เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับบริษัทในอนาคต โดยแหล่งเงินทุนจะมาจากเงินกู้ประมาณ 259.6 ล้านบาท และมาจากกระแสเงินสดของบริษัทอีก 119.5 ล้านบาท