บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร(CPF)คาดว่ากำไรในช่วงครึ่งปีหลังจะใกล้เคียงครึ่งปีแรกที่มีกำไร 4 พันล้านบาท ซึ่งจะทำให้ทั้งปี 52 จะมีกำไรแตะระดับ 8 พันล้านบาท แม้ว่าในแง่ของรายได้จะมีการปรับลดเป้าหมายอัตราเติบโตลงจากเดิมที่ 10% เหลือเพียง 5% เนื่องจากเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ แต่ต้นทุนที่ลดลงและการจำหน่ายสินค้าคุณภาพสูงที่เพิ่มขึ้น ช่วยผลักดันอัตรากำไรขั้นต้น(มาร์จิ้น)ในปีนี้ให้เพิ่มขึ้นมาที่ 19% สูงกว่าปีก่อนราว 4-5%
บริษัทยังคาดว่าจะสามารถจ่ายเงินปันผลในงวดครึ่งหลังของปี 52 ไม่น้อยกว่างวดครึ่งปีแรกที่จ่ายในอัตรา 0.23 บาท/หุ้น
นายอดิเรก ศรีประทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานคณะผู้บริหาร CPF กล่าวว่า กำไรในไตรมาส 2/52 ถือว่าดีที่สุดเท่าที่บริษัทได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มา 30 ปี เป็นผลมาจากในปีนี้บริษัทมีต้นทุนวัตถุดิบลดลง มีการปรับปรุงประสิทธิภาพในขั้นตอนการผลิตและการเลี้ยง อีกทั้งธุรกิจในหลายประเทศเริ่มส่งผลกำไรให้บริษัทอย่างชัดเจนทั้งอินเดียและมาเลเซีย รวมทั้งการขายสินค้าอาหารสำเร็จรูปแบรนด์ซีพีช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าของบริษัทได้เป็นอย่างดี ทำให้กำไรเติบโตได้ถึง 170% ในครึ่งปีแรก
แนวโน้มในครึ่งปีหลังคาดว่ากำไรน่าจะออกมาใกล้เคียงกับครึ่งปีแรกที่มีกำไรสุทธิ 3.96 พันล้านบาท และจะสามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้นในระดับ 19% ได้เท่ากับในไตรมาส 2/52 ซึ่งจะทำให้ทั้งปี 52 บริษัทมีโอกาสทำกำไรได้ถึง 8 พันล้านบาท สูงขึ้นมากกว่าเท่าตัวจากปีก่อนที่มีกำไรราว 3.1 พันล้านบาท
แต่ในแง่ของรายได้ในปีนี้ คาดว่าจะเติบโตได้เพียง 5% ลดลงจากที่บริษัทเคยคาดการณ์ไว้ในระดับ 10% เนื่องจากภาพรวมเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจในประเทศยังไม่ค่อยดี กำลังซื้อก็ยังคงลดลง โดยครึ่งปีแรกยอดขายเติบโตเพียง 4% มาอยู่ที่ 7.5 หมื่นล้านบาท แต่ทั้งปีคาดว่าจะทำได้ 1.6 แสนล้านบาท สูงขึ้นจาก 1.3 แสนล้านบาทในปี 51
"ปีนี้เป็นปีที่ดีของเรา คิดว่าครึ่งปีหลังผลประกอบการของบริษัทจะยังดีอยู่ เชื่อว่าการจ่ายปันผลในงวดครึ่งปีหลังก็จะได้อีกแน่นอน ไม่น่าต่ำกว่าครึ่งปีแรก"นายอดิเรก กล่าว
ทั้งนี้ รายได้ของบริษัทมาจากยอดขายในประเทศ 68% และการลงทุนในต่างประเทศ 17% ที่เหลือเป็นรายได้จากการส่งออกประมาณ 15%
นายอดิเรก กล่าวว่า บริษัทมีแผนจะขยายสินค้าอาหารสำเร็จรูปแบรนด์ซีพีให้เติบโตมากขึ้นจากปัจจุบันที่มีสัดส่วนรายได้ประมาณ 20% ของรายได้รวม ตั้งเป้าภายใน 5 ปีจะทำรายได้ราว 30% ของรายได้รวม
ขณะเดียวกันยังมองโอกาสขยายธุรกิจสัตว์บกทั้งหมูและไก่ในต่างประเทศ โดยเฉพาะรัสเซียและอินเดียที่มีประชากรหนาแน่น และมีความต้องการเนื้อสัตว์บริโภคค่อนข้างสูง ส่วนการลงทุนในไต้หวันที่ได้เข้าถือหุ้น 32% คาดว่าจะเริ่มรับรู้และบันทึกกำไรได้ในไตรมาส 3/52 และจะมีการพัฒนาสินค้าประเภทเนื้อหมูในไต้หวันเพิ่มมากขึ้น และอาหารสำเร็จรูปแบรนด์ซีพีด้วย
อย่างไรก็ตาม บริษัทจะพยายามใช้เงินลงทุนเท่าที่จำเป็น โดยภายในสิ้นปีนี้คาดว่าอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน(D/E)จะเหลือเพียง 1 เท่า จาก ณ สิ้น มิ.ย.52 อยู่ที่ 1.1 เท่า จากจำนวนหนี้สิน 3.7 หมื่นล้านบาท