(เพิ่มเติม) ฟิทช์คงอันดับเครดิตภายในประเทศ SVI ที่ 'BBB+(tha)'

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday August 10, 2009 18:07 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของบริษัท เอสวีไอ จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ 'BBB+(tha)' และอันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้นที่ 'F2(tha)' โดยแนวโน้มอันดับเครดิตของ SVI อยู่ที่ระดับมีเสถียรภาพ

อันดับเครดิตของ SVI สะท้อนถึงสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งของบริษัทในธุรกิจรับประกอบแผงวงจรสำเร็จรูปและผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Manufacturing Service) โดยบริษัทเน้นการผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ระดับบนประเภท non-traditional ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตที่ดี มีความผันผวนจากความต้องการที่ต่ำกว่า และมีอัตราส่วนกำไรจากการผลิตที่สูงกว่า ซึ่งส่งผลให้ธุรกิจและผลประกอบการของบริษัทปรับตัวดีขึ้นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา แม้ว่าสภาวะอุตสาหกรรมมีความท้าทายอย่างมาก นอกจากนี้อันดับเครดิตยังพิจารณาถึงแนวโน้มการเติบโตในระยะยาวของตลาดรับประกอบแผงวงจรสำเร็จรูปและผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ประเภท non-traditional ซึ่งเป็นผลมาจากความต้องการของผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น ตลอดจนแนวโน้มที่เจ้าของผลิตภัณฑ์ต้นแบบ (Original Equipment Manufacturer) ว่าจ้างผู้รับประกอบแผงวงจรสำเร็จรูปและผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ให้ผลิตแทนเพิ่มขึ้น

นอกจากนี้อันดับเครดิตของ SVI ยังพิจารณารวมถึงสถานะทางการเงินของบริษัทที่แข็งแกร่ง โดย ณ สิ้นไตรมาสแรกของปี 2552 บริษัทมีเงินสดสุทธิจำนวน 975 ล้านบาท และมีอัตราส่วนหนี้สินปรับปรุงต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา ค่าตัดจำหน่าย และค่าเช่า (Total adjusted debt to EBITDAR) ที่ 0.3 เท่า ถึงแม้ว่าการจ่ายเงินปันผลหลังจากการที่ผู้บริหารซื้อหุ้นและกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท (Management Buyout) น่าจะส่งผลให้หนี้สินสุทธิ และอัตราส่วนหนี้สินสุทธิของบริษัทเพิ่มขึ้น ฟิทช์มองว่าผลกระทบทางการเงินต่อ SVI มีค่อนข้างจำกัด เนื่องจาก SVI มีสถานะการเงินที่แข็งแกร่ง

แม้ว่าบริษัทจะมีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง อันดับเครดิตของ SVI ได้ถูกลดทอนด้วยปัจจัยความเสี่ยงซึ่งประกอบด้วย การที่บริษัทมีการกระจุกตัวของกลุ่มลูกค้า แนวโน้มการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในธุรกิจรับประกอบแผงวงจรสำเร็จรูปและผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ประเภท non-traditional และความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ของบริษัทประกอบด้วยความเสี่ยงจากความผันผวนของความต้องการใช้เงินทุนหมุนเวียน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อกระแสเงินสดจากการดำเนินงานและสถานะทางการเงินของบริษัทได้ นอกจากนี้ SVI ยังเผชิญกับความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนเนื่องจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัทเกือบทั้งหมดอยู่ในรูปสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ และสกุลเงินยูโร ในขณะที่หนี้สินส่วนใหญ่อยู่ในรูปสกุลเงินบาท อย่างไรก็ตามความเสี่ยงดังกล่าวได้ถูกลดทอนบางส่วนจากการทำสัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า

แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพสะท้อนถึงแนวโน้มที่ SVI จะสามารถรักษาอัตราส่วนกำไร และสามารถสร้างกระแสเงินสดจากการดำเนินงานเพียงพอสำหรับเงินลงทุนและเงินปันผล และรักษาอัตราส่วนหนี้สินและสภาพคล่องให้อยู่ในระดับที่สอดคล้องกับอันดับเครดิต ณ ปัจจุบัน อย่างไรก็ตามอันดับเครดิตของ SVI อาจถูกพิจารณาปรับลดได้หากหนี้สินสุทธิของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเนื่องจากการจ่ายเงินปันผลและการลงทุนที่สูง ซึ่งส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา ค่าตัดจำหน่าย และค่าเช่า (Adjusted net debt to EBITDAR) สูงกว่า 1.0 เท่าอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้อันดับเครดิตอาจถูกพิจารณาปรับลดได้หากอัตราส่วนกำไรของบริษัทปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ บริษัทสูญเสียสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่ง และสูญเสียลูกค้ารายสำคัญ ในทางกลับกันอันดับเครดิตของ SVI อาจถูกพิจารณาปรับเพิ่มได้หากยอดขายและขนาดธุรกิจของบริษัทมีการขยายตัวอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีการกระจายตัวของลูกค้าและกลุ่มลูกค้าตามภูมิภาคมากขึ้น และมีอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา ค่าตัดจำหน่าย และค่าเช่า (EBITDAR margin) สูงกว่า 10% อย่างต่อเนื่อง

ในเดือน พฤษภาคม 2552 บริษัท เอ็มเอฟจี โซลูชั่น จำกัด หรือ MFG ซึ่งถือหุ้นทั้งหมดโดยประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ SVI ได้เข้าซื้อหุ้น SVI ในสัดส่วน 58.5% จาก H&Q Asia Pacific และกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท โดยปัจจุบัน MFG ถือหุ้น SVI ในสัดส่วน 62.9% ในการดำเนินการครั้งนี้ MFG ใช้แหล่งเงินทุนจากวงเงินกู้จำนวน 1,800 ล้านบาทจากธนาคารกสิกรไทย MFG คาดว่าจะใช้เงินปันผลรับจาก SVI และ/หรือเงินจากการขายหุ้น SVI บางส่วนในการชำระคืนเงินกู้ของธนาคารกสิกรไทย ในขณะที่การจ่ายเงินปันผลดังกล่าวน่าจะทำให้หนี้สินสุทธิ และอัตราส่วนหนี้สินสุทธิของ SVI ปรับตัวเพิ่มขึ้น การเข้าถือหุ้นใหญ่ใน SVI โดยผู้บริหารได้ลดทอนความกังวลเกี่ยวกับโครงสร้างการถือหุ้นที่มีก่อนหน้านี้ และน่าจะเพิ่มแรงจูงใจต่อผู้บริหารในการบริหารบริษัทให้มีผลประกอบการที่ดีต่อไป


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ