นายวีระ ศรีชนะชัยโชค กรรมการผู้จัดการ บมจ.ปริญสิริ(PRIN) เตรียมดึงทีมงานมืออาชีพร่วมบริหารเพื่อปรับรูปแบบล้างภาพการบริหารแบบครอบครัว พร้อมทั้งรีแบรนดิ้ง แบ่งกลุ่มโครงการให้ตรงความต้องการของลูกค้า และมีความชัดเจนในการแต่ละแบรนด์ เนื่องจากปัจจุบันบริษัทได้แตกแบรนด์ออกไปจำนวนมากทั้งแนวราบและอาคารสูง พร้อมทั้งระงับขึ้นโครงการคอนโดฯ ใหม่จนถึงกลางปีหน้าหลังสต็อกล้น
"เราอยากได้อีกคนสองคนมาดู operation support อีกคนมาดู sale marketing...บริษัทจะทำรีแบรนด์ใหม่เพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าของปริญสิริ แล้วจะหันมาเน้นทำแนวราบที่ปริญสิริถนัดมากกกว่าคอนโดฯ ปลายปีจะมีการรีแบรนด์ใหม่ หลังจากมีการเปลี่ยนทีมผู้บริหาร เราได้ตั้งเดนท์สึเป็นที่ปรึกษา"นายวีระ กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทมีแผนจะทุ่มงบโฆษณาครั้งใหญ่ในช่วงไตรมาส 4/52 ซึ่งเป็นการกลับมาเร่งทำการตลาดหลังจากที่บริษัทไม่ได้ทำโฆษณามานานกว่า 1-2 ปีแล้ว
นายวีระ กล่าวว่า ตั้งแต่ครึ่งหลังของปีนี้ไปจนถึงกลางปี 53 บริษัทไม่มีแผนพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ ๆ เพราะยังมีโครงการที่กำลังพัฒนาหลายแห่ง ประมาณ 5 โครงการ ได้แก่ ที่ถนนราชปรารภ, ถนนพหลโยธิน 37, ถนนนราธิวาสราชนครินทร์, ถนน พระราม 2 และ เมืองพัทยา โดยทั้งหมดยังคงมีสต็อกคงค้างค่อนข้างมาก บริษัทจึงมีแผนทำการตลาดรอบใหม่ในช่วงครึ่งปีหลัง เพื่อเร่งระบายสต็อกเหล่านี้ออกไป และบางส่วนจะมีการปรับราคาขายเพิ่มขึ้นในพื้นที่ที่ยังเป็นที่นิยม
บริษัทเน้นการพัฒนาโครงการแนวราบทั้งบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ โดยครึ่งหลังปี 52 จะเปิดโครงการทาวน์โฮม 3 โครงการใหม่ ได้แก่ อยู่บนถนนวัชรพล , ถนนกัลปพฤกษ์ และ จ.นนทบุรี โดยคาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้ตั้งแต่ไตรมาส 4/52
นายวีระ กล่าวว่า บริษัทมีแผนจะขายที่ดินที่ไม่ได้อยู่ในแผนพัฒนาโครงการของบริษัทในขณะนี้ ได้แก่ ที่ดินบริเวณเมืองพัทยา, อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ โดยคาดว่าจะได้เงินประมาณ 600 ล้านบาท ซึ่งบริษัทจะมีกำไรจากการขายที่ดินเหล่านี้
ขณะที่บริษัทมีแผนซื้อที่ดินใหม่อีก 2 แปลงในทำเลที่มีศักยภาพ มูลค่ารวมประมาณ 500 ล้านบาท โดยมีผู้เสนอขายที่ดินที่น่าสนใจอยู่ 4 แปลง แต่จะเลือกซื้อไว้เพียง 2 แปลง คือ ที่ท่าข้าม และ บางนา กม.10 เนื่องจากการซื้อที่ดินจำนวนมากจะทำให้อัตราหนี้สินต่อทุน(D/E)ของบริษัทปรับเพิ่มสูงขึ้น โดยบริษัทมีเป้าหมายที่จะรักษา D/E ไม่ให้เกิน 1.5 เท่า จากปัจจุบันอยู่ที่ 1.3 เท่า แต่หากซื้อที่ดินรอบนี้ คาดว่า D/E น่าจะเพิ่มขึ้นไปเป็น 1.8 เท่า
อย่างไรก็ตาม D/E ของบริษัทยังต่ำกว่าภาพรวมอุตสาหกรรมที่อยู่ระดับประมาณ 2 เท่า
นายวีระ กล่าวว่า บริษัทยังคงเป้ายอดรับรู้รายได้ปีนี้ที่ 4.5 พันล้านบาท โดยแบ่งเป็นโครงการบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ รวมมุลค่า 2.0-2.5 ล้านบาท และโครงการคอนโดมิเนียม 2.0-2.5 พันล้านบาท ขณะที่มีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 10% เช่นเดียวกับที่ทำได้ในครึ่งปีแรก
ทั้งนี้ บริษัทมีเป้าหมายที่จะเพิ่มอัตรากำไรสุทธิในปีหน้าเพิ่มขึ้นเป็นไม่ต่ำกว่า 12% ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นก็จะเพิ่มขึ้นเป็นไม่น้อยกว่า 30% จากปีนี้ที่อยู่ในระดับสูงกว่า 20%