นายปกรณ์ บริมาสพร ประธานกรรมการบริหาร บมจ.ไลท์ติ้ง แอนด์ อีควิปเมนท์ (L&E) เปิดเผยถึงแนวโน้มธุรกิจในครึ่งปีหลังว่า มีทิศทางที่ดีกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากแนวโน้มเศรษฐกิจโลกเริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้นและกำลังซื้อของผู้บริโภคเริ่มกลับคืนมาอีกครั้ง ซึ่งจะเห็นได้จากคำสั่งซื้อสินค้าที่ทยอยเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันบริษัทฯ มีงานในมือ( Backlog ) ประมาณ 600 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้เข้ามาจนถึงปี 53
"ครึ่งปีหลังผลประกอบการน่าจะดีกว่าครึ่งปีแรก เพราะมีหลายโครงการเลื่อนการก่อสร้าง ทำให้การรับรู้รายได้เลื่อนออกไปเป็นไตรมาส 3 ซึ่งจะทำให้ผลประกอบการออกมาโดดเด่นในช่วงครึ่งปีหลัง ประกอบกับกำลังซื้อเริ่มฟื้นตัวดีขึ้นตามทิศทางเศรษฐกิจโลก แต่สำหรับ L&E มีนโยบายไม่มุ่งเน้นสร้างยอดขายจำนวนมากๆ ทั้งที่สถานการณ์เริ่มดีขึ้น โดยจะเน้นที่คุณภาพของลูกค้า ที่ขายสินค้าแล้วต้องเก็บเงินได้ ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงทางธุรกิจลงได้มาก" นายปกรณ์ กล่าว
นอกจากนี้ ในไตรมาสที่ 3/52 บริษัทฯ ได้เตรียมขยายช่องทางจำหน่ายสินค้าไปยังตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะออสเตรเลียและแอฟริกา เพื่อเพิ่มสัดส่วนลูกค้าในต่างประเทศ จากเดิมตลาดหลักของ L&E จะอยู่ในแถบอาเซียนและตะวันออกกลาง ซึ่งในปัจจุบันยังมีคำสั่งซื้อสินค้าเข้ามาอย่างต่อเนื่อง และการขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มใหม่ๆ เชื่อว่าภายในสิ้นปีนี้บริษัทฯ จะมีรายได้จากตลาดต่างประเทศเพิ่มเป็น 4% จากปัจจุบันที่อยู่ในระดับ 2%
ขณะเดียวกันโชว์รูมแสดงสินค้าของบริษัทคือ Lighting Solution Center ขณะนี้มียอดขายเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นในปีนี้คาดว่าจะเริ่มสร้างรายได้อย่างชัดเจน สนับสนุนให้ทิศทางรายได้ของบริษัทฯ ในครึ่งปีหลังเติบโตเพิ่มขึ้นจากครึ่งปีแรกได้
นายปกรณ์ กล่าวยอมรับว่า รายได้ปีนี้จะทรงตัวจากปีก่อนที่มีรายได้ 1.62 พันล้านบาท ส่วนกำไรในปีนี้จะปรับตัวลดลงจากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 78.06 ล้านบาท เนื่องจากผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวในช่วงครึ่งปีแรก ส่งผลให้กำลังซื้อปรับตัวลดลง โดยเฉพาะการขายสินค้าผ่านโครงการต่างๆ
ถึงแม้ในครึ่งปีหลังเริ่มทีทิศทางดีขึ้น และออเดอร์ที่เริ่มกลับมา แต่คงไม่สามารถช่วยกำไรปีนี้ปรับเพิ่มขึ้นได้ ถึงแม้ผลประกอบการจะไม่ดี บริษัทยังคงนโยบายจ่ายปันผลไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิ แต่จำนวนเงินจ่ายปันผลคาดว่าจะลดลงจากปีก่อน
หลังจากที่บริษัทรุกการส่งออกต่างประเทศมากขึ้น ทำให้บริษัทวางเป้าหมายสัดส่วนจากการส่งออกเป็น 10% ใน 3 ปีข้างหน้า(ปี 53-55) จากปีนี้ที่มีสัดส่วนส่งออก 3-4% โดยตลาดหลักยังคงเน้นประเทศแถบอาเซียน แต่จะเพิ่มตลาดใหม่ในตะวันออกลาง และแอฟริกา