MINT เผยธุรกิจอาหารช่วยพยุงรายได้ คาดธุรกิจโรงแรมฟื้นตัวใน Q4/52

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday August 17, 2009 11:18 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) ระบุว่า โดยทั่วไปอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในประเทศช่วงไตรมาส 2 และ 3 ของทุกปีจะเป็นช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยว ซึ่งกำไรจากธุรกิจโรงแรมของบริษัทในช่วงนี้โดยทั่วไปมีสัดส่วนต่ำกว่าร้อยละ 35 ซึ่งถ้าสถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศกลับมามีเสถียรภาพในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทมีความเชื่อมั่นว่าผลการดำเนินงานจะกลับมามีการเติบโตอย่างแข็งแกร่งในไตรมาส 4/52 ซึ่งจะมีผลการดำเนินการที่ดีกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

MINT รายงานผลประกอบการไตรมาส 2/52 มีรายได้รวม 3,725 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 3 ขณะที่มีกำไรสุทธิ 230 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 34 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน โดยบริษัทมีรายได้จากการเข้าถือหุ้นในบมจ.ไมเนอร์ คอร์ปอเรชั่น (MINOR) และไทยเอ็กเพรส ซึ่งมีส่วนช่วยบรรเทาผลกระทบจากรายได้ที่ลดลงของธุรกิจโรงแรมและธุรกิจอสังหาริมทรัพย์

แม้ว่าธุรกิจอาหารจะยังคงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องของรายได้และกำไร แต่รายได้ธุรกิจโรงแรมของ MINT ลดลงจากผลกระทบวิกฤติเศรษฐกิจโลกและความไม่มั่นคงทางการเมืองภายในประเทศในไตรมาสนี้ กำไรสุทธิของ MINT ปรับตัวลดลงในอัตราร้อยละ 34 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากกำไรที่ลดลงในธุรกิจโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์

ในไตรมาส 2/52 ธุรกิจโรงแรมได้รับผลกระทบโดยตรงจากการหดตัวลงของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวภายในประเทศอันเนื่องมาจากภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำทั่วโลก กอปรกับความไม่มั่นคงทางการเมืองภายในประเทศ ดังจะเห็นได้จากอัตราการเข้าพักของโรงแรมในเครือลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 44 จากร้อยละ 64 ในช่วงเดียวกันของปีก่อน

รายได้จากธุรกิจโรงแรม จำนวน 844 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 26 ซึ่งอัตราการเข้าพักและรายได้จากธุรกิจโรงแรมมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่เหตุการณ์ปิดสนามบินในเดือนธันวาคมปีที่แล้ว ต่อด้วยเหตุการณ์ไม่สงบจากกลุ่มผู้ประท้วงรัฐบาลในช่วงเดือนเมษายนปีนี้ ตลอดจนการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ H1N1

ขณะที่ธุรกิจอาหารเข้ามามีบทบาทสำคัญในการสร้างรายได้และกำไรให้กับบริษัทในยามที่ธุรกิจโรงแรมชะลอตัวลง โดยไตรมาส 2/52 มีรายได้จากธุรกิจอาหาร 2,313 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 13 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากยอดขายรวมทุกสาขา (Total System Sale)เติบโตร้อยละ 13 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ในช่วงไตรมาส 2 มีจำนวนสาขาเปิดใหม่สุทธิทั้งในประเทศและต่างประเทศ จำนวน 20 สาขา และจากการประสบความสำเร็จในการลงทุนในไทยเอ็กซ์เพรส สัดส่วนร้อยละ 70 ในเดือนพฤษภาคมปีที่แล้ว ในอนาคต MINT ยังคงแสวงหาโอกาสทางธุรกิจในการลงทุนในแบรนด์ธุรกิจอาหารที่มีความสามารถในการทำกำไรสูงและมีศักยภาพในการขยายธุรกิจออกไปในตลาดภูมิภาคเอเชียและตะวันออกกลาง

MINT ประสบความสำเร็จในการดำเนินการตามแผนการปรับโครงสร้างธุรกิจ ซึ่งทำให้ MINT เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน MINOR สัดส่วนร้อยละ 99.92 จากการเข้าถือหุ้นใน MINOR มีส่วนช่วยกระจายแหล่งที่มาของรายได้ที่หลากหลายมากขึ้น โดยครอบคลุมเพิ่มเติมไปยังธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าแฟชั่นเครื่องสำอางแบรนด์ชั้นนำ และธุรกิจรับจ้างผลิตสินค้า

อย่างไรก็ดี ธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าและธุรกิจรับจ้างผลิตสินค้า มีรายได้ลดลงร้อยละ 15 และร้อยละ 7 ตามลำดับ และล่าสุดบริษัทย่อยได้ลงนามในสัญญาเป็นผู้จัดจำหน่ายสินค้าให้กับบริษัท Gap Inc.เพื่อเปิดร้านเสื้อผ้า Gap ในประเทศไทย การนำแบรนด์ Gap เข้ามาเพิ่มเติมในในกลุ่มเสื้อผ้าแฟชั่นที่บริษัทเป็นผู้จัดจำหน่ายในปัจจุบัน ได้แก่ เอสปรี บอสสินี่ ทิมเบอร์แลนด์ และชาร์ลสแอนด์คีธ ซึ่งช่วยเสริมศักยภาพในการเป็นผู้นำในจัดจำหน่ายสินค้าแฟชั่นจากต่างประเทศในประเทศไทย


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ