นายสุเวทย์ ธีรวชิรกุล กรรมการผู้อำนวยการ บมจ.เอ็ม บี เค(MBK)คาดว่า ผลประกอบการงวดปี 51/52 รายได้คงจะใกล้เคียงกับปีก่อน แต่ในแง่ของกำไรคงจะปรับตัวลดลงจากงวดปีก่อน โดยเฉพาะผลกระทบจากธุรกิจโรงแรมที่ได้รับผลมาจากภาวะเศรษฐกิจและการเมือง รวมทั้งผลกระทบจากไข้หวัด 2009 ส่งผลให้อัตราการเข้าพักของปีนี้คงจะปรับลดลงมาที่ 70% จาก 80% ในช่วงก่อนเกิดปัญหา
โครงสร้างรายได้ของ MBK มาจากรายได้จากธุรกิจศูนย์การค้า 30% รายได้จากธุรกิจโรงแรม 18% ซึ่งลดลงจาก 20% ในปีก่อน ที่เหลือเป็นรายได้จากสนามกอล์ฟ และอื่นๆ รวมกัน
นอกจากนี้ แม้ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอ แต่บริษัทจะยังมีการลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยงวดปี 52/53 มีเงินลงทุนประมาณ 2 พันล้านบาทใกล้เคียงปีก่อน แบ่งเป็นปรับปรุงห้องพักโรงแรม 462 ห้องให้เสร็จภายในสิ้นปี 52 จากเดิมคาดจะใช้เวลาในการปรับปรุงประมาณ 2 ปี ใช้งบลงทุน 450 ล้านบาท, ปรับปรุงสนามกอล์ฟ และ ลงทุนในคอมมูนิตี้มอลล์ ย่านพระราม 9 ด้วยเงินลงทุนประมาณ 800 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะเปิดให้บริการกลางปี 53
ส่วนการร่วมทุนกับ บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด ในการเข้าซื้อกิจการศูนย์การค้าเสรีเซ็นเตอร์ ถนนศรีนครินทร์ มูลค่ารวมทั้งสิ้น 2 พันล้านบาท แบ่งเป็นงบซื้ออาคาร 975 ล้านบาท และงบในการปรับปรุงตกแต่ง 1,025 ล้านบาท จะเป็นการลงทุนตามสัดส่วนฝ่ายละ 50% หรือฝ่ายละประมาณ 1 พันล้านบาท ซึ่งเงินลงทุนในส่วนของ MBK จะมาจากแหล่งเงินทุนหมุนเวียนภายในกิจการ
ทั้งนี้ MBK คาดว่าภายหลังเสรีเซ็นเตอร์โฉมใหม่เปิดให้บริการราวเดือน มี.ค.53 แล้ว คาดว่าอัตราการผู้เข้าใช้บริการจะเพิ่มเป็น 9 หมื่นคน/วัน จากเดิม 7 หมื่นคน/วัน และเชื่อว่าจะคุ้มทุนได้ภายใน 5-7 ปี
ปัจจุบัน เสรีเซ็นเตอร์โฉมใหม่มียอดการจองพื้นที่แล้ว 70% ส่วนใหญ่เป็นผู้เช่ารายใหม่ และคาดว่าภายใน 1 เดือนยอดจองพื้นที่จะเต็ม และหลังปรับโฉมจะมีอัตราค่าเช่าอยู่ที่ประมาณ 1,100-1,200 บาท/ตารางเมตร จากเดิม 900 บาท/ตารางเมตร
"MBK ตั้งเป้ารับรู้รายได้จากเสรีเซ็นเตอร์เข้ามาปีละมากกว่า 500 ล้านบาท จากปัจจุบันที่เสรีเซ็นเตอร์มีรายได้ปีละ 500 ล้านบาท"นายสุเวทย์ กล่าว
นายสุเวทย์ กล่าวว่า ในส่วนของศูนย์การค้ามาบุญครองปัจจุบัน แม้จะอยู่ในภาวะทรงตัว แต่ก็เชื่อว่าจะมีทิศทางการเติบโตที่ดี แต่เติบโตในอัตราที่น้อยลงเมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากผลกระทบจากเศรษฐกิจและการเมืองทำให้ลูกค้าต่างชาติหายไป 3-5%
ปัจจุบัน ศูนย์การค้ามาบุญครองมีสัดส่วนจากลูกค้าชาวต่างชาติ 30% และที่เหลือ 70% เป็นลูกค้าชาวไทย