นายพิชิต อัคราทิตย์ กรรมการผู้จัดการ บลจ.เอ็มเอฟซี (MFC) เปิดเผยว่า ช่วงครึ่งหลังปี 52 บริษัทได้ตั้งเป้าเพิ่มมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของทุกกองทุนภายใต้การจัดการ(NAV)เพิ่มเป็น 2.6 แสนล้านบาท จากเป้าเดิมที่ตั้งไว้ที่ 2.3 แสนล้านบาท เนื่องจากช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา NAV เติบโต 9.22% หรือเพิ่มขึ้น 1.46 แสนล้านบาท จากการเปิดขายกองทุนรวม 12 กองทุน ระดมเงินทุนได้ 4.5 พันล้านบาท ส่งผลให้ในสิ้น มิ.ย. 52 บริษัทมี NAV เพิ่มเป็น 2.3 แสนล้านบาทแล้ว
นอกจากนั้น ในช่วงครึ่งหลังปี 52 บริษัทมีแผนเปิดขายกองทุนอีก 17 กองทุน ประกอบด้วย กองทุนรวมตราสารหนี้ 5 กองทุน กองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ(FIF) 8 กองทุน กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ 3 กองทุน และ กองทุนรวมผสมแบบยืดหยุ่น 1 กองทุน
"สิ่งที่เราตั้งใจจะทำต่อจากนี้คือเราตั้งใจจะออก 17 กองทุน ใน 5 เดือนข้างหน้า ทั้งหมดจะเป็นอาวุธสำคัญที่จะทำให้เรามี NAV เข้าเป้า มีโอกาสโต 20% จากสิ้นปี 51 ที่มี NAV 2.16 แสนล้านบาท"นายพิชิต กล่าว
ในปีนี้บริษัทคาดว่าจะออกกองทุนในรูปแบบใหม่ ๆ เช่น กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ MFC MASTER POOL FUND รองรับบริษัทขนาดเล็กที่ต้องการจัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ, กองทุนส่วนบุคคล ที่เป็นกองทุนพลังงานทดแทน
นอกจากนั้น ยังมีการศึกษากองทุนเชิงสร้างสรรค์(MFC National Creativity Fund)เบื้องต้นน่าจะมีเงินกองทุนในระดับ 600-800 ล้านบาทจัดตั้งได้ในเดือน ต.ค.52 ซึ่งจะเป็นการนำการนำงานเชิงสร้างสรรค์แชะเชิงวิจัยมาพัฒนาเป็นสินค้า และศึกษารูปแบบของ Thailland Carbon Fund
นายพิชิต กล่าวว่า ในปีนี้ MFC จะเน้นการทำตลาดแบบ CRM มากขึ้น และดูแลเรื่องความมั่งคั่งให้กับลูกค้า โดยวางแผนบริหารจัดการให้กับลูกค้ามากขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทมีจำนวนลูกค้าเพิ่มปีละ 10% ส่วนใหญ่เป็นราย่อยมากกว่า 50%
นายศุภกร สุนทรกิจ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิจัยและกลยุทธ์การลงทุน MFC กล่าวว่า ภาพรวมครึ่งปีหลังการแข่งขันของธุรกิจบริษัทจัดการลงทุนน่าจะดุเดือด แต่บริษัทก็ยังคงเน้นการออกกองทุนตราสารหนี้มากขึ้น ซึ่ง MFC ก็มีแผนจะออกกองทุนใหม่เฉลี่ยเดือนละ 1 กองทุน
ทั้งนี้ MFC มีเป้าหมายจะรักษาตำแหน่งบริษัทจัดการลงทุนอันดับ 3 มีส่วนแบ่งตลาด 10% จากที่อยู่ในระดับ 9.7% ในปัจจุบัน
นายศุภกร กล่าวว่า ในปีนี้เศรษฐกิจจะยังไม่ฟื้นตัวมากนัก โดยคาดว่าดัชนี SET จะอยู่ที่ประมาณ 600-700 จุด แค่คาดว่าปีหน้าเศรษฐกิจจะฟื้นตัว โอกาสที่ดัชนีจะทะลุไปเคลื่อนไหวในระดับ 700-800 จุด ภายใต้สมมติฐานอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ(จีดีพี)เติบโต 2-3% กำไรบริษัทจดทะเบียนเติบโต 17%
อนึ่ง จากการคาดการณ์ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ(IMF)ได้มีการปรับประมาณการเศรษฐกิจโลกเติบโต 2.5% จากเดิมคาดว่าจะโต 1.9% โดยภูมิภาคเอเชียจะเติบโตสูง โดยเฉพาะจีนและอินเดีย ขณะที่จีดีพีของสหรัฐจะเติบโตประมาณ 0.8%