ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (20 ส.ค.) เนื่องจากนักลงทุนมีความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวเร็วขึ้น หลังจากสหรัฐเปิดเผยข้อมูลภาคการผลิตที่ดีเกินคาด ขณะที่หุ้นกลุ่มการเงินได้รับแรงซื้อส่งเข้าหนุนหลังจากซีอีโอของอเมริกัน อินเตอร์เนชันแนล กรุ๊ป (เอไอจี) ระบุว่า เอไอจีจะสามารถจ่ายคืนเงินกู้ให้กับรัฐบาลสหรัฐได้
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวก 70.89 จุด หรือ 0.76% แตะที่ 9,350.05 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดพุ่ง 10.91 จุดหรือ 1.09% แตะที่ 1,007.37 จุด และดัชนี Nasdaq ปิดบวก 19.98 จุด หรือ 1.01% แตะที่ 1,989.22 จุด
ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 1.05 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นบวกมากกว่าหุ้นลบในอัตราส่วน 11 ต่อ 4 ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาด Nasdaq มีอยู่ราว 1.99 พันล้านหุ้น
เดวิด โรเซนเบิร์ก นักวิเคราะห์จากบริษัท Gluskin Sheff & Associates ในนิวยอร์กกล่าวกับเอพีว่า ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กผันผวนตั้งแต่ช่วงเปิดทำการซื้อขาย เนื่องจากนักลงทุนมีท่าทีระมัดระวังต่อทิศทางเศรษฐกิจและผลประกอบการของเอกชน แต่ในช่วงบ่ายดาวโจนส์เริ่มดีดตัวขึ้นสู่แดนบวก หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาฟิลาเดลเฟียรายงานว่า ภาคการผลิตในเขตมิดแอตแลนติกฟื้นตัวขึ้น และคอนเฟอเรนซ์ บอร์ด รายงานว่า ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจเดือนก.ค.ปรับตัวขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงหนุนจากการที่ซีอีโอเอไอจีระบุว่าบริษัทจะสามารถจ่ายคืนเงินกู้ให้กับรัฐบาลสหรัฐได้ รวมทั้งรายงานผลสำรวจความคิดเห็นของผู้จัดการกองทุนทั่วโลกซึ่งจัดทำโดยแบงค์ ออฟ อเมริกา-เมอร์ริล ลินช์ ซึ่งบ่งชี้ว่า ผู้จัดการกองทุนส่วนใหญ่มีมุมมองในด้านบวกต่อเศรษฐกิจโลกมากขึ้นในเดือนส.ค. โดยจำนวนผู้จัดการกองทุนที่มองว่ามีโอกาสอย่างมากที่เศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวขึ้นนั้น มีจำนวนเพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบ 6 ปี
ผลการสำรวจบ่งชี้ว่า หุ้นกลุ่มเทคโนโลยียังคงเป็นหุ้นที่ได้รับความสนใจมากที่สุดจากกลุ่มผู้จัดการกองทุน โดย 28% ของผู้จัดการกองทุนที่ตอบรับการสำรวจได้ทุ่มน้ำหนักการลงทุนไปที่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ส่วนหุ้นกลุ่มธนาคารซึ่งได้รับผลกระทบหนักสุดจากวิกฤตการณ์การเงินโลก ยังคงเป็นหุ้นที่ได้รับความสนใจน้อยที่สุด โดยมีผู้จัดการกองทุนเพียง 10% เท่านั้นที่เทน้ำหนักการลงทุนไปที่หุ้นกลุ่มนี้
นักลงทุนจับตาดูรายงานยอดขาดดุลงบประมาณซึ่งทางการสหรัฐจะเปิดเผยในวันที่ 25 ส.ค.นี้ หลังจากทำเนียบขาวคาดการณ์ว่า ยอดขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลสหรัฐในปีนี้จะมีอยู่ทั้งสิ้น 1.58 ล้านล้านดอลลาร์ ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้เมื่อเดือนพ.ค.ราว 2.62 แสนล้านดอลลาร์ โดยปัจจัยที่ทำให้ทำเนียบขาวคาดการณ์ว่าจะขาดดุลงบประมาณน้อยลงในปีนี้มาจากความสำเร็จในโครงการจัดหาเม็ดเงินหลายพันล้านดอลลาร์เพื่อช่วยเหลืออุตสาหกรรมการเงิน และจากการที่จำนวนธนาคารล้มละลายมีอยู่น้อยกว่าที่คณะทำงานของโอบามาคาดการณ์ไว้ ซึ่งหมายความว่าบรรษัทประกันเงินฝากแห่งสหรัฐ (FDIC) จะใช้จ่ายงบประมาณน้อยกว่าที่คาดการณ์ราว 7.8 หมื่นล้านดอลลาร์
ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มการเงินทะยานขึ้น โดยหุ้นเอไอจีปิดพุ่ง 21.3% หุ้นซิตี้กรุ๊ปิดบวก 8.5%
ส่วนหุ้นเซียร์ส โฮลดิ้งส์ ร่วงลง 12% หลังจากเซียร์สซึ่งเป็นบริษัทห้างสรรพสินค้ารายใหญ่สุดของสหรัฐ รายงานผลขาดทุนในไตรมาสสองซึ่งผิดความคาดหมายของนักวิเคราะห์ เนื่องจากบริษัทมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นในส่วนของเงินชดเชยเลิกจ้างพนักงานและการปิดร้านหลายสาขา โดยเซียร์สขาดทุนสุทธิ 94 ล้านดอลลาร์ หรือ 79 เซนต์ต่อหุ้น เปรียบเทียบกับกำไร 65 ล้านดอลลาร์ หรือ 50 เซนต์ในปีก่อน ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าบริษัทน่าจะมีกำไร 35 เซนต์ต่อหุ้นในช่วงไตรมาสสองปีนี้