ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (21 ส.ค.) หลังจากเบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ระบุว่าเศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ระยะฟื้นตัวแล้ว ซึ่งทำให้นักลงทุนคลายความวิตกกังวลและเข้าซื้อหุ้นอย่างคึกคัก นอกจากนี้ ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังดีดตัวขึ้นขานรับยอดขายบ้านมือสองของสหรัฐที่พุ่งขึ้นแข็งแกร่งในเดือนก.ค.
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์พุ่งขึ้น 155.91 จุด หรือ 1.7% ปิดที่ 9,505.96 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ดีดขึ้น 18.76 จุด หรือ 1.9% ปิดที่ 1,026.13 จุด และดัชนี Nasdaq เพิ่มขึ้น 31.68 จุด หรือ 1.6% แตะที่ 2,020.90 จุด
ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 5.88 พันล้านหุ้น เพิ่มขึ้นจากวันพฤหัสบดีที่ 5 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นบวกมากกว่าหุ้นลบในอัตราส่วน 4 ต่อ 1
จอร์แดน สมิธ นักวิเคราะห์จาก Edgemoor Investment Advisors ในรัฐแมรีแลนด์กล่าวกับเอพีว่า "นักลงทุนเข้าซื้อหุ้นอย่างคึกคักหลังจากเบอร์นันเก้กล่าวในที่ประชุมประจำปีของเฟดว่าเศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ "ระยะฟื้นตัว" แล้ว และคาดว่าจะกลับมาขยาตัวได้อีกครั้งในไม่ช้านี้ อย่างไรก็ตาม เบอร์นันเก้เตือนว่าอัตราการปล่อยกู้ในภาคธนาคารจะยังไม่เข้าสู่ภาวะปกติ ซึ่งจะสร้างความยากลำบากให้กับภาคธุรกิจและผู้บริโภคที่ต้องการกู้เงิน ถึงกระนั้นก็ตามนักลงทุนมองว่าโดยภาพรวมแล้ว เบอร์นันเก้มีมุมมองที่เป็นบวกต่อเศรษฐกิจมากขึ้นนับตั้งแต่เกิดวิกฤตการณ์การเงินในสหรัฐ"
ราคาหุ้นดีดตัวขึ้นทั่วทั้งกระดาน โดยหุ้นกลุ่มพลังงาน กลุ่มอุตสาหกรรม และกลุ่มวัสดุทะยานขึ้นแข็งแกร่ง หลังจากราคาน้ำมันดิบและราคาโลหะในตลาดโลกพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ ส่วนราคาหุ้นกลุ่มธนาคารดีดตัวขึ้นเช่นกัน
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงหนุนหลังจากสมาคมนายหน้าค้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐรายงานว่า ยอดขายบ้านมือสองประจำเดือนก.ค.พุ่งขึ้น 7.2% แตะระดับ 5.24 ล้านยูนิตต่อปี ซึ่งเป็นสถิติที่ปรับตัวขึ้นติดต่อกัน 4 เดือน และเป็นระดับสูงสุดในรอบ 2 ปี หลังจากปรับตัวขึ้นที่ระดับ 4.89 ล้านยูนิตต่อปีในเดือนมิ.ย.
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนส่วนใหญ่ยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคและอัตราว่างงานในสหรัฐ แม้อัตราการว่างงานประจำเดือนก.ค.ของสหรัฐร่วงลงแตะระดับ 9.4% ซึ่งเป็นการปรับตัวลงครั้งแรกในรอบ 1 ปี 3 เดือนก็ตาม ส่วนอีกปัจจัยที่สร้างความกังวลให้กับนักลงทุนคือยอดค้าปลีกเดือนก.ค.ของสหรัฐที่ลดลง 0.1% สวนทางกับที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.7% ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าอัตราว่างงานที่สูงขึ้นทำให้ผู้บริโภคลดการใช้จ่ายสินค้าที่ไม่จำเป็น
นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์หน้า โดยวันจันทร์ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาชิคาโกจะเปิดเผยดัชนีอุตสาหกรรมทั่วประเทศประจำเดือนก.ค. วันอังคาร สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์/เคส ชิลเลอร์จะเปิดเผยราคาบ้านเดือนมิ.ย. และสำนักงานคอนเฟอเรนซ์บอร์ดจะเปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐเดือนส.ค.
วันพุธ กระทรวงพาณิชย์จะรายงานยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนก.ค.และยอดขายบ้านใหม่เดือนก.ค. วันพฤหัสบดี กระทรวงพาณิชย์จะเปิดเผยตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ขั้นต้นประจำไตรมาส 2 และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ส่วนวันศุกร์กระทรวงพาณิชย์จะเปิดเผยรายได้ส่วนบุคคลเดือนก.ค. และมหาวิทยาลัยมิชิแกนจะเปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคขั้นสุดท้ายเดือนส.ค.