นายตัน ภาสกรนที กรรมการผู้จัดการ บมจ.โออิชิ กรุ๊ป (OISHI) กล่าวว่า เพียงแค่ 7-8 เดือนแรกของปี 52 ยอดขายของบริษัททำได้สูงถึง 7.2 พันล้านบาท ซึ่งเป็นเป้าหมายรายได้ของทั้งปีนี้ไปแล้ว แม้ว่ายอดขายและรายได้ในช่วงครึ่งปีแรกจะทำได้น้อยกว่าที่ควรจะเป็น โดยทำได้เพียง 3,427 ล้านบาท แต่ก็ถือเป็นตัวเลขที่ยังเติบโตจากปีก่อนกว่า 20% ซึ่งมีรายได้ 2,795 ล้านบาท
"ก่อนหน้านี้ช่วง 6 เดือนหรืองวดครึ่งปียังพลาดอยู่นิดหน่อย แต่พอมาเดือนที่ 7 กับเดือนที่ 8 เราทำได้แล้วตามเป้าแล้ว ถือว่าเร็วกว่าที่คาดไว้ เพราะฉะนั้นทั้งปีก็น่าจะเกินเป้า แต่ก็ยังไม่มีการปรับยอดขายเพิ่มขึ้น"นายตัน กล่าว
นายตัน กล่าวว่า ยอดขายของบริษัทเพิ่มขึ้นทั้งในส่วนของธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม โดยในส่วนของร้านอาหารนั้นได้มีการเปิดสาขาใหม่ของร้านอาหารยอดฮิตในเครือเพิ่มขึ้น ทั้งชาบูชิและโออิชิ และการซื้อกิจการร้านแฟรนไชส์จากประเทศญี่ปุ่น 2 แบรนด์ เข้ามาเปิดบริการในประเทศไทย คือ ร้านไมโดะ และ ร้านคาโซกูเตะ
ขณะที่ธุรกิจเครื่องดื่ม ปัจจุบันโรงงานผลิตสินค้าเครื่องดื่มไม่ทันตามความต้องการ สอดคล้องกับแผนการสร้างโรงงานแห่งที่ 3 ที่บริษัทอยู่ในช่วงการลงเสาเข็มและกำลังจะเปิดประมูลผู้รับเหมาการก่อสร้างในเร็วๆนี้
"ตอนนี้เราผลิตไม่ทันแล้ว ก็ตรงกับที่เราวางแผนไว้ว่าจะต้องมีโรงงานใหม่แห่งที่ 3 ซึ่งตอนนี้ลงเสาเข็มแล้ว และคาดว่าเร็วๆนี้คงจะเปิดประมูลการก่อสร้างในส่วนอื่นๆ"นายตัน กล่าว
นอกจากนี้ ผลจากยอดขายที่เพิ่มขึ้น ทำให้ต้นทุนค่าใช้จ่ายก็ลดลงไปในตัวมีส่วนช่วยให้มาร์จิ้นดีขึ้น และส่งผลไปสู่ผลกำไรที่ดีขึ้นตามมาด้วย
อีกส่วนหนึ่งที่ทำให้ยอดขายของโออิชิเป็นไปตามที่คาด คือ การใช้กลยุทธ์ทางด้านการโฆษณาประชาสัมพันธ์และกิจกรรมส่งเสริมการขายต่อเนื่องตลอดทั้งปี เนื่องจากปีนี้ครบ 10 ปีของโออิชิ บริษัทจึงจัดสรรงบการตลาดประมาณ 12% ของยอดขาย หรือกว่า 800 ล้านบาท ทั้งในส่วนของของอาหารและเครื่องดื่ม แต่ยังไม่รวมงบการตลาดที่ใช้สำหรับแคมเปญ"เที่ยวทั่วไทยไปยกแก๊ง"อีก 100 ล้านบาท ซึ่งแหล่งเงินทุนนำมาจากผลกำไรที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน
งวด 6 เดือนแรก OISHI มีกำไรสุทธิ 425 ล้านบาท เพิ้มขึ้น 51.2% จาก 281 ล้านบาทในปีก่อน
"ปีนี้เราใช้งบการตลาดเยอะ ประมาณ 800 ล้านบาท หรือ 12% ของยอดขาย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะปีนี้ครบ 10 ปีของโออิชิ เราก็ใช้งบการตลาดค่อนข้างเยอะ ทั้งเพื่อจัดกิจกรรมการตลาดเพื่อกระตุ้นยอดขาย และกิจกรรมเพื่อสังคม (CSR:Corporate Social Responsibility)"นายตัน กล่าว
นายตัน ยังกล่าวถึงการจ่ายเงินปันผลงวดระหว่างกาลครึ่งปีแรก ซึ่งคณะกรรมการบริษัทมีมติให้จ่ายในอัตราหุ้นละ 1.14 บาท ว่า การจ่ายเงินปันผลดังกล่าวคิดเป็นอัตราสูงถึง 90% ถือว่าเป็นการจ่ายปันผลที่สูงกว่านโยบายที่จะจ่ายไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีและสำรองตามกฎหมาย ส่วนเงินปันผลงวดสิ้นปีจะสามารถจ่ายได้สูงกว่าครึ่งปีแรกหรือไม่ยังไม่สามารถประเมินได้