นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. ไออาร์พีซี (IRPC) กล่าวว่า บริษัทกำหนดแผนธุรกิจ 5 ปี(53-57)ประกอบด้วย 16 โครงการ วงเงินลงทุนรวม 1.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยจะเน้นการโครงการปิโตรเคมีและโรงกลั่น ซึ่งเป็นธุรกิจหลัก รวมถึงแผนพัฒนาโครงการอื่นๆ เพื่อเป็นการเสริมสร้างองค์กรให้มีความแข็งแกร่งและใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ภายในบริษัทให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
ทั้งนี้ เงินลงทุน 1.2 พันล้านเหรียญจะนำมาจากกระแสเงินสด แต่หากจำเป็นต้องกู้เงินบริษัทก็สามารถทำได้ เนื่องจากปัจจุบัน D/E อยู่ที่ 0.3 เท่า
บริษัทมีแผนจะพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และที่ดินที่มีอยู่ทั่วประเทศ กว่า 1.2 หมื่นไร่ให้เกิดรายได้เพิ่มขึ้น โดยตั้งเป้าภายใน 5 ปีจะได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนสูงถึง 23% จากปัจจุบันที่ 8-9% เนื่องจากบริษัทมีทรัพย์สินที่มิได้นำมาใช้ประโยชน์อย่างมีประสิทธิภาพจำนวนมาก เช่น ท่าเรือและคลังเก็บผลิตภัณฑ์ ซึ่งหากนำมาพัฒนาโดยผู้เชี่ยวชาญ คาดว่าจะสร้างรายได้และกำไรให้บริษัทเป็นจำนวนมาก
นอกจากนี้ บริษัทยังตั้งเป้าเป็นบริษัทปิโตรเคมีครบวงจรชั้นนำของเอเซียภายในปี 57 โดยใช้โครงสร้างการบริหารและจัดการที่มีประสิทธิภาพ หวังว่าจะได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนเพิ่มขึ้นอีกอย่างน้อย 15% โดยยังมุ่งเน้นธุรกิจหลัก คือ ปิโตรเคมี
"แม้ว่าเราจะมีโครงการเพื่อปรับมาตรฐานของบริษัทให้สูงขึ้นจากโครงการระยะที่ 3(ปี 53-57) แต่มั่นใจว่าจะไม่มีปัญหาหากผู้ถือหุ้นใหญ่อย่าง ปตท. ต้องการให้ควบรวมกิจการ ถือว่าเป็นเรื่องดีที่บริษัทมีประสิทธิภาพเทียบเคียงกับบริษัทที่ ปตท.มีแผนจะควบรวม"นายไพรินทร์ กล่าว
นายไพรินทร์ กล่าวต่อว่า ส่วนโครงการที่อยู่ในแผนการลงทุนระหว่างปี 50-52 ยังคงเดินหน้าโครงการผลิตไฟฟ้าพลังไอน้ำขนาด 220 เมกะวัตต์ ใช้เงินลงทุน 220 ล้านเหรียญสหรัฐ โครงการปรับปรุงสภาพแวดล้อมและความปลอดภัย 39 ล้านเหรียญสหรัฐ
สำหรับโครงการลงทุนระยะที่ 2(ปี 52-54) ยังอยู่ระหว่างการดำเนินงาน คือ แผนปรับปรุงประสิทธิภาพโรงกลั่นน้ำมันให้ได้มาตรฐานยูโร 4 ซึ่งอาจมีการร่วมมือกันระหว่าง IRPC กับบมจ.ปตท.อะโรเมติกส์และการกลั่น(PTTAR)ในการทำโรงกลั่นมาตรฐานยูโร 4 เนื่องจากการกำหนดใช้ยูโร 4 มีเพียงแต่ในประเทศไทย แต่ในภูมิภาคยังคงใช้มาตรฐานเดิม ดังนั้น การผลิตเพื่อขายในประเทศ จึงไม่จำเป็นต้องแยกกันลงทุน ซึ่งเดิม IRPC คาดว่าจะใช้เงินลงทุนในโครงการยูโร 4 ที่ 130-150 ล้านเหรียญสรอ.
ในส่วนโครงการขยายกำลังการผลิตเม็ดพลาสติก ABS และปรับปรุงท่าเรือน้ำลึกของบริษัทยังคงดำเนินการตามปกติ มีเพียงโครงการปรับปรุงโรงกลั่นเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตจาก 2.15 แสนบาร์เรล เป็น 2.58 แสนบาร์เรล/วันที่บริษัทยกเลิกไป ขณะที่การขยายกำลังการผลิตโพรพิลีนเพิ่มอีก 1 แสนตัน เงินทุน 88 ล้านเหรียญสรอ. ขณะนี้อยู่ระหว่างการทำรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม(EIA)
ส่วนแผนในระยะที่ 3 (ปี 53-57) ขณะนี้ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดของโครงการได้ แต่จะมีทั้งลงทุนเองหรือหาซื้อธุรกิจเข้ามาเพิ่มเติมเพื่อต่อยอดธุรกิจเดิม แต่ยังเน้นงานที่บริษัทมีความชำนาญ
นายไพรินทร์ กล่าวถึงผลประกอบการครึ่งปีหลัง ขณะนี้มั่นใจว่าไตรมาส 3/52 ค่าการกลั่นเฉลี่ย(GRM)จะสูงเป็นตัวเลขสองหลักจากไตรมารส 2/52 ที่ GRM เฉลี่ยอยู่ที่ 9.1 ดอลลาร์/บาร์เรล เนื่องจากราคาน้ำมันยังอยู่ในระดับสูงเฉลี่ยที่ 70 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ประกอบกับ ราคาปิโตรเคมีในตลาดโลกยังอยู่ในระดับสูงเช่นเดียวกัน
ส่วนในไตรมาส 4/52 บริษัทยังไม่สามารถประเมินสถานการณ์ได้ เนื่องจากราคาน้ำมันยังมีความผันผวนสูง ขณะที่ปิโตรเคมีอาจได้รับผลกระทบจากกำลังการผลิตใหม่ที่จะเข้ามาในตลาดโลก ซึ่งหากเศรษฐกิจไม่ฟื้นตัว จีดีพีไม่เป็นบวกอย่างที่คาดการณ์อาจจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจได้