นายชาญ วรรธนะกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.กรุงเทพประกันชีวิต(BLA)เปิดเผยว่า บริษัทฯ เตรียมเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก(IPO)จำนวน 200 ล้านหุ้น ภายในเดือน ก.ย.52 โดยกำหนดราคาเสนอขายหุ้นอยู่ระหว่าง 12.50—14.00 บาท และพร้อมนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ภายในไตรมาส 3/52
สำหรับเงินที่ได้จะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนและเพิ่มเงินกองทุนของบริษัทให้แข็งแกร่ง สร้างความน่าเชื่อถือต่อคู่ค้าและรองรับการขยายตัวของธุรกิจในอนาคต
“ภาวะแวดล้อมในปัจจุบันมีความเหมาะสม และน่าจะช่วยให้การเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปประสบผลสำเร็จด้วยดี เป็นที่คาดการณ์ของสถาบันทั่วไปทั้งภาครัฐและภาคเอกชนว่า ภาวะเศรษฐกิจได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจนขึ้น และยังมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวต่อเนื่องอย่างมีเสถียรภาพ ภาวะการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ในระยะที่ผ่านมาก็ได้สะท้อนภาพดังกล่าวและบ่งบอกถึงความมั่นใจของนักลงทุนได้เป็นอย่างดี อีกทั้งผลประกอบการของบริษัทเองก็มีการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่อง ทำให้มั่นใจว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน"นายชาญ กล่าว
สำหรับกลยุทธ์การตลาดในปี 52 บริษัทฯยังคงมุ่งเน้นการยายเครือข่ายและพัฒนาคุณภาพตัวแทน การพัฒนาประสิทธิภาพการขยายตลาดผ่านธนาคาร และการให้ความสำคัญกับการพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายและความต้องการของลูกค้า นอกจากนี้บริษัทฯ ยังให้ความสำคัญอย่างมากกับการสร้างความรู้ความเข้าใจและทัศนคติที่ดี ทั้งกับตัวแทนขาย และลูกค้า เพื่อให้การขายเป็นไปด้วยความรู้ความเข้าใจของทั้งสองฝ่าย ซึ่งจะช่วยให้งานที่ได้มีคุณภาพ อีกทั้งยังเป็นการสนับสนุนความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า และช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของบริษัทและธุรกิจประกันชีวิตโดยรวมอีกด้วย
ปัจจุบัน บริษัทฯ มีช่องทางในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายหลักด้วยกัน 2 ช่องทาง ได้แก่ ช่องทางการจัดจำหน่ายผ่านตัวแทน ซึ่ง ณ สิ้นปี 51 บริษัทฯ มีจำนวนตัวแทนทำงานทั้งสิ้น 12,214 คน และช่องทางการจำหน่ายผ่านธนาคารซึ่งมีธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เป็นพันธมิตร โดยในปี 51 มีเบี้ยรับรวมผ่านช่องทางการจำหน่ายผ่านตัวแทน 61.85% ผ่านธนาคาร 33.15% และช่องทางอื่น 5%
ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 52 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 790 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 57.61% จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นผลมาจากการเติบโตอย่างต่อเนื่องของเบี้ยประกันภัย ทั้งเบี้ยประกันปีต่ออายุและเบี้ยประกันใหม่
สำหรับนโยบายการจ่ายเงินปันผลนั้น บริษัทฯ มีนโยบายที่จะเงินปันผลในอัตราไม่ต่ำกว่า 25% ของกำไรสุทธิหลังจากหักภาษีในแต่ละปีที่มีผลกำไรจากการดำเนินงาน แต่จะต้องไม่มีขาดทุนสะสมในส่วนของผู้ถือหุ้น