TICON เล็งตั้งกองทุนใหม่มูลค่า 1.4-1.5 พันลบ.ใน Q4/เตรียมโรดโชว์สิงคโปร์

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday August 27, 2009 11:49 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายวีรพันธ์ พูลเกษ กรรมการผู้จัดการ บมจ.ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น(TICON) เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนที่จะจัดตั้งกองทุนใหม่ในไตรมาส 4 นี้ เป็นลักษณะของ Warehouse ขนาด 1.4-1.5 พันล้านบาท เนื่องจากจะเป็นการสร้างผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นนอกเหนือจากผลตอบแทนจาก TFUND ถึงแม้ yield ที่ได้จากกองทุนแวร์เฮ้าส์จะอยู่ในอัตราที่ต่ำกว่าแต่จะเป็นการลดความเสี่ยงจากการลงทุน เพราะที่ผ่านมาราคา TFUND ปรับตัวลดลงส่งผลให้ TICON ได้ผลตอบแทนลดลงตามไปด้วย

อย่างไรก็ตามการที่ yield ของ Warehouse อยู่ในอัตราที่ต่ำกว่า TFUND จึงทำให้อาจต้องมีการรับประกันผลตอบแทนขั้นต่ำที่ได้รับ โดยคาดว่าผลตอบแทนเฉลี่ยจาก Warehouse อยู่ที่ 8% ขณะที่ TFUND อยู่ที่ 9% ซึ่งเม็ดเงินที่ได้จากการจัดตั้งกองทุน Warehouse บริษัทจะนำไปคืนหนี้บางส่วนจะทำให้ D/E มาอยู่ที่ 1.4 เท่า จาก 1.6 เท่า รวมทั้งจะเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการสร้างโรงงานและคลังสินค้าให้เช่า

"การที่เราคิดที่จะตั้งกองทุน Warehouse เพราะเห็นว่ากองทุน TFUND ที่เราถือได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจทำให้ NAV ปรับลดลงซึ่งก็ส่งผลต่อสัดส่วนในการถือของเราลดลงตามไปด้วย ขณะที่ Warehouse จะสร้างผลตอบแทนได้เร็ว ถึง Warehouse มาร์จิ้นอยู่ที่ 28-30% ซึ่งต่ำกว่าโรงงานให้เช่าที่มาร์จินอยู่ที่ 45% แต่ Warehouse จะไม่เสียภาษี"นายวีรพันธ์ กล่าว

นายวีรพันธ์ คาดว่าในครึ่งปีหลังสถานการณ์จะกลับมาเป็นบวกเมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกที่มีการขอยกเลิกโรงงานและเช่าโรงงานรวม 16 ราย เนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจจึงทำให้ลูกค้าไม่กล้าที่จะลงทุนและผลิต แต่ขณะนี้เริ่มมีสัญญาณการกลับมาของลูกค้าในบางรายโดยขณะนี้มีการยืนยันจากลูกค้าเข้ามาใหม่ในแง่ของการเช่าโรงงาน 40,000 ตร.ม. และ Warehouse 20,000 ตร.ม.ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีในการปรับตัว แต่อย่างไรก็ตามก็ยังไม่สามารถประเมินได้ชัดเจนเพราะการกลับมายังเป็นทำตามสต็อกยังไม่ได้เพิ่มการผลิตหรือลงทุนใหม่ แต่คงจะไปเห็นการลงทุนใหม่ๆในปีหน้าจึงทำให้รายได้ในปันี้ปรับลดลงเหลืออยู่ที่ 2.5 พันล้านบาท จาก 3.4 พันล้านบาทในปีก่อน

ที่ผ่านมามีลูกค้า 4-5 รายที่เคยมีแผนในการเช่า Warehouse พื้นที่ 1-2 หมื่นตร.ม.ขอยืดระยะเวลาในการเช่าไปปีหน้า เช่น ธุรกิจรีเทล ส่งออกบางราย อย่างไรก็ตาม จากปัจจัยดังกล่าวทำให้บริษัทจะต้องมีการประเมินสถานการณ์ของการเช่าพื้นที่ทั้งในแง่ของ Warehouse และโรงงานในครึ่งปีหลังว่ามีมากพอหรือไม่ถึงจะสามารถประเมินเม็ดเงินลงทุนในปีหน้าโดยหากมีคนเช่าโรงงานมากถึง 25 โรงงานจากปัจจุบัน 45 โรงงานก็จะเพิ่มการลงทุน

นายวีรพันธ์ เชื่อว่าการเติบโตในครึ่งปีหลังจะมีแนวโน้มที่ดีจะเห็นได้ว่าการที่มีนักลงทุนสถาบันต่างชาติกลับเข้ามาถือหุ้นเพิ่มจากเดิมที่ถือ 49% และลดลงไปเหลือ 10% และตอนนี้กลับมาเพิ่มการลงทุนแล้ว แสดงให้เห็นว่านักลงทุนมั่นใจในการเติบโตของธุรกิจและแผนในการขยายตัวขณะที่จุด bottom ก็ผ่านไปในไตรมาส 2 แล้ว ขณะเดียวกันบริษัทมีแผนโรดโชว์ที่สิงคโปร์ร่วมกับตลาดหลักทรัพย์ในช่วงปลายเดือนต.ค. ตรงนี้เป็นอีกปัจจัยหนึ่งทำให้นักลงทุนสถาบันต่างชาติกลับเข้ามาลงทุนเพิ่มขึ้น


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ