PLE คาดสรุปขาย PP ได้ต.ค.นี้ หลังมีนิติบุคคลไทย-ตปท. 2 รายสนใจ

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday August 28, 2009 13:58 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายเสวก ศรีสุชาติ ประธานกรรมการ บมจ.เพาเวอร์ไลน์ เอ็นจิเนียริ่ง (PLE) เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างการทำดิวดิลิเจนซ์กับนักลงทุน 2 ราย ในการเข้าซื้อหุ้น PP จำนวน 180 ล้านหุ้น โดยคาดว่าจะสามารถสรุปผู้เข้ามาซื้อหุ้น PP ได้ภายในเดือน ต.ค.นี้โดยทั้ง 2 รายเป็นนิติบุคคล ไทยและเทศ

เบื้องต้นคาดว่าจะสรุปเหลือเพียงรายเดียว ส่วนการที่จะซื้อจำนวนเท่าใดนั้นขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคนซื้อ คาดว่าเงินที่ได้จากการขายหุ้น PP ประมาณ 200-300 ล้านบาท จะทำให้บริษัทมีฐานเงินทุนที่แข็งแกร่งขึ้น และยังมีเงินสดเข้ามาเพิ่มทำให้สามารถรับงานที่มีขนาดใหญ่ได้มากขึ้น และหากจบดีล PP แล้วอาจจะเห็นการลงทุนใหม่ๆ ได้อีก ซึ่งจะพิจารณาอีกครั้ง

ทั้งนี้ ยอมรับว่า ไม่มั่นใจว่าปีนี้จะมีกำไรได้หรือไม่ ซึ่งคงจะต้องขึ้นอยู่กับการตั้งสำรองหนี้ของบริษัทที่ปัจจุบันมีอยู่ 1,048 ล้านบาท ซึ่งหากรับรู้ได้ 400-450 ล้านบาท ก็มีโอกาสที่ปีนี้จะเห็นกำไรจากครึ่งปีแรกที่ขาดทุน

ขณะเดียวกันในส่วนของรายได้ก็คงจะปรับตัวลดลงเช่นกัน มาอยู่ที่ 7,967 ล้านบาท หรือลดลง 10% จากปีก่อนที่มีรายได้ 9,118 ล้านบาท เนื่องจากผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวส่งให้งานล่าช้า

แต่อย่างไรก็ตาม จากการประเมินภาพรวมของธุรกิจก่อสร้างในครึ่งปีหลังที่กลับมาดีขึ้นโดยเฉพาะเม็ดเงินจากภาครัฐที่เข้ามากระตุ้น น่าจะส่งผลให้ภาพรวมของธุรกิจกลับมามีทิศทางที่ดีขึ้น

ปัจจุบัน บริษัทมี Backlog 7.6 พันล้านบาท และอยู่ระหว่างประมูลเพิ่มรวมถึงรอการอนุมัติเซ็นสัญญารับงานก่อสร้าง 3 โครงการ ของภาครัฐทั้งหมด ส่วนใหญ่เป็นการ Joint Venture ได้แก่ รถไฟฟ้าสายสีม่วงในนามกิจการ PAR Joint Venture งานศูนย์แสดงสินค้าเชียงใหม่ และงานก่อสร้างอาคารของศาลฎีกาซึ่งทั้ง 2 งาน เป็นการ Joint Venture กับ บมจ. อีเอ็มซี (EMC) คาดว่าทั้ง 3 งานบริษัทจะรับรู้รายได้ 4,606 ล้านบาท ตามสัดส่วนการร่วมทุน

นอกจากนี้ ยังมีงานที่ประเทศกาตาร์อีก 3-4 โครงการ มูลค่ารวม 1 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะได้งานในปีนี้ 1 งาน หรือ ประมาณ 8 พันล้านบาท แต่การที่บริษัทถือหุ้นในบริษัทที่จัดตั้งขึ้นมาที่ประเทศกาตาร์ 50% จะทำให้สามารถรับรู้ประมาณ 4 พันล้านบาท รวมทั้งยังมีโครงการบ้านเอื้ออาทร ที่ล่าช้าซึ่งคาดว่าจะทยอยรับรู้ในปีนี้และปีหน้าจึงทำให้บริษัทจะมี Backlog สะสมภายในสิ้นปีนี้ 1.75 หมื่นล้านบาท จากครึ่งปีแรกที่มี Backlog 7.6 พันล้านบาท

ทั้งนี้ บริษัทจะพยายามรักษาอัตรากำไรขั้นต้นให้ใกล้เคียงปีก่อนที่ 8-10% ถึงแม้จะลำบาก เนื่องจากในครึ่งปีแรกได้รับผลกระทบทั้งในเรื่องของต้นทุนวัสดุก่อสร้างการแข่งขันและจำนวนการสร้างบ้านเอื้ออาทรที่ลดลงแต่บริษัทก็จะพยายามในการเร่งรัดการเคลียร์หนี้และเร่งทำงานก่อสร้างให้จบ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ