นายวัลลภ พุกกะณะสุต ประธานกรรมการบริหาร บมจ.การบินไทย (THAI) กล่าวว่า บริษัทมั่นใจว่าปีนี้จะมีกำไรสุทธิ เนื่องจากเป้าหมายกำไรก่อนหักภาษี ดอกเบี้ย และค่าเสื่อม(EBITDA) ที่ 2.5-3 หมื่นล้านบาท เชื่อว่าจะสามารถทำได้ โดยครึ่งปีแรกมี EBITDA จำนวน 1.2-1.3 หมื่นล้านบาท และตั้งเป้าหมายที่จะเห็น EBITDA 4 หมื่นล้านบาท ให้เร็วที่สุด
"เรามีความหวังว่า ถ้าปีนี้บริษัทมีกำไรสุทธิตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ ก็หวังว่าจะเห็นการจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้น ถ้าเราทำ EBITDA ได้ 2.5 หมื่นล้านบาทเราก็เห็น bottom line ก็เป็นบวกแล้ว" นายวัลลภ กล่าว
สำหรับแผนการเพิ่มทุน ขณะนี้ได้มอบหมายให้ นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ กรรมการผู้อำนวยการใหม่(DD) ไปศึกษาว่าจะใช้วิธีใดเพิ่มทุน เนื่องจากปัจจุบันมองว่า ทุนจดทะเบียนของบริษัทต่ำไป เมื่อเทียบกับเป้าหมาย EBITDA ที่ตั้งเป้าว่าจะได้เห็น 4 หมื่นล้านบาท ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษารายละเอียดคาดจะได้ข้อสรุปภายในเดือนธ.ค.นี้
"แผนเพิ่มทุน เราจะให้ DD ใหม่ไปศึกษารายละเอียดว่าจะใช้วิธีทางการเงินใดในการเพิ่มทุน แต่เราต้องเรียกความเชื่อมั่นซึ่งเริ่มเห็นความเชื่อมั่นกลับมา เพราะสะท้อนจากราคาหุ้นที่เริ่มปรับเพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง แสดงว่าทุกคนเห็นว่าผลประกอบการของการบินไทยจะดีขึ้นจริง"ประธานกรรมการบริหาร กล่าว
สำหรับผลประกอบการครึ่งปีหลัง บริษัทยังเชื่อมั่นว่า ในไตรมาส 3/52 จะมีอัตราส่วนบรรทุกผู้โดยสาร(Cabin Factor) ไม่ต่ำกว่า 75% ซึ่งในเดือนส.ค.-ก.ย. อยู่ระดับ 76% ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจ
อย่างไรก็ตาม นายวัลลภ กล่าวว่า บริษัทยังต้องการเห็น Cabin Factor สูงกว่านี้อีก ซึ่งเป็นงานที่ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ฝ่ายการพาณิชย์คนใหม่ ที่วันนี้คณะกรรมาการบริษัทแต่งตั้ง นายพฤทธิ์ บุปผาคำ ซึ่งมีผลตั้งแต่วันนี้ และยังควบตำแหน่ง กรรมการผู้จัดการฝ่ายงานคาร์โก้ต่อไป
นายวัลลภ กล่าวว่า ในไตรมาส 4/52 เป็นช่วงไฮซีซั่น บริษัทมีแผนเพิ่มเที่ยวบิน โดยเส้นทางบินกรุงเทพ-ออสโล ซึ่งเป็นเส้นทางใหม่ที่ประสบความสำเร็จ จะเพิ่มเที่ยวบินอีก 1 เที่ยวบิน/สัปดาห์ จาก 5 เที่ยวบิน/สัปดาห์ และจะมีการพิจารณาปรับปรุงเพิ่มเติมในบางเที่ยวบินที่สามารถเพิ่มยอดขายได้ รวมทั้งอาจจะนำเส้นทางบินแอฟริกามาทบทวนอีกครั้งหลังหยุดทำการบินไป เนื่องจากปีหน้าจะมีฟุตบอลโลกที่แอฟริกาใต้ ซึ่งน่าจะส่งผลดีต่อเส้นทางนี้
ส่วนปัญหาราคาน้ำมัน ขณะนี้ยังไม่กังวล เนื่องจาก บริษัทตั้งเป้าราคาน้ำมันดิบที่ 80 เหรียญ/บาร์เรล ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ระดับกว่า 70 เหรียญ/บาร์เรล จึงไม่กังวลว่าจะส่งผลกระทบต่อรายได้และแผนฟื้นฟูธุรกิจ