ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดอ่อนตัวลงเมื่อคืนนี้ (28 ส.ค.) หลังจากที่ความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐเดือนส.ค.อ่อนตัวลงและรายได้ส่วนบุคคลที่ทรงตัวในเดือนก.ค.เข้ามาบดบังตัวเลขผลประกอบการที่สดใสของเดลล์และอินเทล แต่ดัชนีก็ไม่ได้ปรับตัวลงมากนักหลังจากที่ยอดการใช้จ่ายของผู้บริโภคขยับขึ้น 0.2% สอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดลบ 36.43 จุด หรือ 0.38% แตะที่ 9,544.20 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดลบ 2.05 จุด หรือ 0.20% แตะที่ 1,028.93 จุด และดัชนี Nasdaq ปิดเพิ่มขึ้น 1.04 จุด หรือ 0.05% แตะที่ 2,028.77จุด
มหาวิทยาลัยมิชิแกนรายงานว่า ความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐในเดือนส.ค.อ่อนตัวลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 4 เดือน เหตุผู้บริโภควิตกกังวลเกี่ยวกับอัตราว่างงานที่สูงขึ้นและสถานภาพทางการเงินส่วนบุคคล
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ยอดการใช้จ่ายของผู้บริโภคในเดือนก.ค.เพิ่มขึ้น 0.2% ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 79% ของเศรษฐกิจ นับเป็นตัวเลขที่สอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ ผู้บริโภคใช้จ่ายมากขึ้นเนื่องจากได้รับปัจจัยหนุนจากโครงการรถเก่าแลกรถใหม่ที่รัฐบาลสหรัฐนำมาใช้เพื่อส่งเสริมให้มีการซื้อรถใหม่ ส่วนรายได้ส่วนบุคคลในเดือนก.ค.ทรงตัว ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์คาดว่า จะเพิ่มขึ้น 0.2%
อย่างไรก็ดี ปีเตอร์ บ็อควาร์ นักวิเคราะห์ Miller Tabak & Co. กล่าวว่า โครงการรถเก่าแลกรถใหม่จะช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายได้ในระยะสั้นๆเท่านั้น ผู้บริโภคยังคงตกอยู่ภายใต้ภาวะกดดันอยู่
บริษัท เดลล์ อิงค์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตคอมพิวเตอร์พีซีรายใหญ่อันดับ 2 ของโลก เปิดเผยว่าบริษัทมีกำไรไตรมาส 2 อยู่ที่ 28 เซนต์ต่อหุ้น ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้ที่ 22 เซนต์ต่อหุ้น หลังจากบริษัทปรับลดต้นทุนด้านการผลิต
หุ้นอินเทล พุ่งขึ้นกว่า 4% แตะ 20.25 ดอลลาร์ หลังจากที่บริษัทได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ยอดขายในไตรมาสนี้ ซึ่งถือเป็นอีกสัญญาณที่ว่าดีมานด์คอมพิวเตอร์กำลังฟื้นตัวขึ้น ส่วนหุ้นเดลล์ บวก 1.76% แตะ 15.93 ดอลลาร์