ฟิทช์ คงอันดับเครดิตประเภทต่างๆของ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) (SCB) ดังต่อไปนี้ อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาว (IDR) ที่ BBB+ และให้แนวโน้มเป็นเชิงลบ
- อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะสั้น (IDR) ที่ F2
- อันดับเครดิตความแข็งแกร่งทางการเงิน (Individual Rating) ที่ C
- อันดับเครดิตสนับสนุน (Support Rating) ที่ 2
- อันดับเครดิตสนับสนุนขั้นต่ำ (Support Rating Floor) ที่ BBB-
- อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศของหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิไม่มีหลักประกันที่ระดับ ‘BBB+’
- อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศของหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่ระดับ ‘BBB’
- อันดับเครดิตภายในประเทศ (National Ratings) ระยะยาวที่ระดับ ‘AA(tha)’ แนวโน้มอันดับเครดิตภายในประเทศ ของธนาคารที่มีเสถียรภาพ
- อันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้นที่ระดับ ‘F1+(tha)’ และ
- อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่ระดับ ‘AA-(tha)’ (AA ลบ (tha))
ทั้งนี้ การจัดอันดับเครดิตของ SCB สะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของผลกำไรจากการดำเนินงานและความสามารถในการทำกำไร เนื่องจาก SCB เป็นหนึ่งในธนาคารที่มีเครือข่ายการให้บริการแก่ลูกค้าบุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดในประเทศไทย โดย SCB มีสัดส่วนสินเชื่อเพื่อการอยู่อาศัยที่ 37% ของสินเชื่อรวม รวมทั้งมีส่วนแบ่งสินเชื่อภาคธุรกิจที่สูง ในขณะที่ค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญและสถานะเงินกองทุนของธนาคารยังคงอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง อย่างไรก็ตามธนาคารยังคงมีความเสี่ยงที่สูงขึ้นด้านคุณภาพสินทรัพย์ เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจที่อ่อนแอ นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังพิจารณาถึงความเป็นไปได้อย่างสูงที่ธนาคารจะได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลหากมีความจำเป็นเนื่องจากความสำคัญของธนาคารที่มีต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ
ฟิทช์ระบุว่า หลังจากธนาคารประกาศผลประกอบการที่แข็งแกร่ง ปี 2551 ผลประกอบการในครึ่งแรกของปี 2552 ได้ปรับตัวลดลง 15% มาอยู่ที่ 10.8 พันล้านบาท เนื่องจากการหดตัวของสินเชื่อและดอกเบี้ยที่ลดลง แม้ว่าสินเชื่อด้อยคุณภาพของ SCB อยู่ในระดับค่อนข้างคงที่ที่ 49.8 พันล้านบาท หรือ 5.5% ของสินเชื่อรวม ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2552 เมื่อเทียบกับ 50.2 พันล้านบาท หรือ 5.5% ณ สิ้นปี 2551 แต่ระดับของสินเชื่อที่กล่าวถึงเป็นพิเศษกลับเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าในปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามสินเชื่อดังกล่าวอยู่ในระดับคงที่ในครึ่งแรกของปี 2552 ฟิทช์คาดว่า ค่าใช้จ่ายในการสำรองหนี้สูญจะเพิ่มขึ้นภายในอีก 6-12 เดือนข้างหน้าเนื่องจากคุณภาพของสินทรัพย์มีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงตามหลังสภาพเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตามฟิทช์เชื่อว่าเงินกองทุนชั้นที่ 1 ของ SCB ที่ระดับ 11.4% อยู่ในระดับที่แข็งแกร่งเพียงพอที่จะรองรับผลกระทบ หากการอ่อนตัวของสภาพเศรษฐกิจยังคงมีต่อเนื่องไปจนถึงปี2553 ในขณะเดียวกันแหล่งเงินทุนหลักของ SCB มาจากฐานเงินฝากในประเทศที่แข็งแกร่ง