ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.)ระบุว่า บมจ.บลิส-เทล(BLISS) บมจ.แคปปิทอล เอ็นจิเนียริ่ง เน็ตเวิร์ค(CEN) บมจ.อินเตอร์แนชั่นเนิลเอ็นจิเนียริง (IEC) บมจ.ไลฟ์ อินคอร์ปอเรชั่น (LIVE) และ บมจ.ซันไชน์ คอร์เปอเรชั่น(SSE) เข้าข่ายต้องเปิดเผยข้อมูลตามเกณฑ์ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) เนื่องจากตลท.ได้รวบรวมข้อมูลของบริษัทจดทะเบียนที่นำส่งงบการเงินสิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย.52 และเป็นบริษัทที่หากไม่รวมกำไร(ขาดทุน)จากเงินลงทุนแล้วยังมีผลขาดทุนสุทธิ
ทั้งนี้ ณ 30 มิ.ย.52 ปรากฎว่า IEC และ LIVE มีการซื้อขายเงินลงทุนที่สำคัญ ดังนี้ IEC ลงทุน CIG 29.57 ล้านบาท คิดเป็น 55% ของเงินลงทุนชั่วคราวทั้งหมด
ส่วน LIVE มียอดคงเหลือในเงินลงทุนของ IEC 53.73 ล้านบาท คิดเป็น 80 % ของเงินลงทุนชั่วคราวทั้งหมด (67.46 ล้านบาท) โดยมีมูลค่ายุติธรรม 41.60 ล้านบาท นอกจากนี้ ช่วงวันที่ 1 ก.ค.-11 ส.ค.52 LIVE ขายหลักทรัพย์ IEC 6.46 ล้านบาท และมียอดซื้อและขายหลักทรัพย์ CIG และ CIG-W1 รวม 95.62 ล้านบาท
ขณะที่ ผู้สอบบัญชีมีข้อสังเกตเกี่ยวกับความสามารถในการดำเนินงานต่อเนื่องของ BLISS, IEC, และ LIVE
ตลท.สรุปข้อสังเกตผู้สอบบัญชีของ BLISS, IEC, และ LIVE โดยในส่วน BLISS บริษัทมีส่วนของผู้ถือหุ้นน้อยกว่าศูนย์ ซึ่งทำให้หุ้นสามัญของบริษัทอาจถูกเพิกถอนจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนได้ โดยบริษัทอยู่ระหว่างเพิ่มทุน นอกจากนั้น บริษัทยังถูกธนาคารพาณิชย์ 2 แห่งฟ้องร้องต่อศาลแพ่งเรียกชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินและเงินเบิกเกินบัญชี และบริษัทในประเทศแห่งหนึ่งฟ้องร้องต่อศาลเรียกชำระค่าสินค้า บริษัทอยู่ระหว่างเจรจากับธนาคารและเจ้าหนี้ดังกล่าว
ส่วน IEC บริษัทย่อยได้ซื้อทรัพย์สิน (โรงงานผลิตเอทานอลได้แก่ที่ดิน อาคาร และเครื่องจักร) จากบริษัทแห่งหนึ่ง 465 ล้านบาท ต่อมาบริษัทย่อยดังกล่าวถูกฟ้องคดีต่อศาลเกี่ยวกับการซื้อทรัพย์สินดังกล่าวเป็นโมฆะทุนทรัพย์ 181 ล้านบาท และฐานความผิดข้อหายักยอกทรัพย์ บริษัทย่อยและบริษัทถูกธนาคารฟ้องให้ชำระหนี้เงินกู้ยืมพร้อมบังคับจำนองทรัพย์สิน
ทรัพย์สินดังกล่าวมีมูลค่าตามบัญชีสุทธิ 305 ล้านบาท (หักค่าเผื่อด้อยค่า 160 ล้านบาท) ที่ผู้บริหารของบริษัทย่อยอยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ของการผลิตไบโอดีเซลยังไม่ได้ข้อสรุปเนื่องจากคดีพิพาทอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล และ จนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2552 กลุ่มบริษัทยังมีผลขาดทุนต่อเนื่องจากวิกฤติการณ์เศรษฐกิจโลกโดยรวมที่ตกต่ำอย่างมากที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของกลุ่มบริษัท
สำหรับ LIVE และบริษัทย่อยมีผลขาดทุนสุทธิ และผลขาดทุนสะสม มีปัญหาสภาพคล่องทางการเงินต่อเนื่อง โดยมีเงินสดสุทธิจากกิจกรรมดำเนินงานติดลบ โดย LIVE อยู่ในช่วงทบทวนแผนธุรกิจให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยอันเนื่องมาจากผลกระทบของวิกฤตการณ์ทางการเงินที่เกิดขึ้นทั่วโลกตั้งแต่ไตรมาสที่ 3/51