นายโสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม กล่าวถึงกรณีที่พนักงาน OUT SOURCE ของบมจ. การบินไทย (THAI) ประมาณ 50 คน รวมตัวกันและแสดงความไม่พอใจต่อมาตรการรักษาความปลอดภัยสำหรับการปฏิบัติงานบริเวณจุดคัดแยกกระเป๋าสัมภาระ ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ หลังจาก บมจ.ท่าอากาศยานไทย(AOT หรือ ทอท.)ประกาศใช้มาตรการใหม่ในวันที่ 1 ก.ย.ส่งผลให้เที่ยวบินในช่วงเช้าจำนวน 13 เที่ยวบินต้องล่าช้าว่า ได้ให้นโยบายผู้บริหารการบินไทยและผู้บริหารทอท.ว่าต้องใช้วิธีเจรจาเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว
แต่การเจรจาจะต้องไม่อ่อนข้อ เพราะการที่ทอท. ปรับปรุงกฎเกณฑ์ต่างๆ เพราะต้องการยกระดับการทำงานให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น และมาตรการใหม่ที่บังคับใช้นั้น ไม่ได้ละเว้นให้กับหน่วยงานใดทั้งสิ้น โดยพนักงานและเจ้าหน้าที่ทุกคนที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ดังกล่าว ต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์เดียวกันทั้งหมด รวมทั้งพนักงานทำความสะอาด
ด้านหม่อมหลวงอัจฉราพร ณ สงขลา ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารวิสาหกิจและประชาสัมพันธ์ THAI กล่าวว่า มาตรการรักษาความปลอดภัยใหม่ของทอท.กำหนดให้เจ้าหน้าที่จากทุกหน่วยงานที่ปฏิบัติงานในบริเวณลานจอด บริเวณจุดคัดแยกกระเป๋าสัมภาระ และพื้นที่ที่กำหนด ห้ามนำสิ่งของที่ไม่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานติดตัวเข้าไปในพื้นที่ปฏิบัติงาน ส่งผลให้พนักงาน OUT SOURCE จำนวนหนึ่งไม่พอใจ เพราะเห็นว่าเป็นการริดรอนสิทธิส่วนบุคคล
สาเหตุที่ ทอท.ประกาศใช้มาตรการดังกล่าว เพราะได้รับการร้องเรียนว่ามีทรัพย์สินในกระเป๋าสัมภาระของผู้โดยสารสูญหาย ขณะใช้บริการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และก่อนหน้านี้ ทอท. ได้ประชุมร่วมกับตัวแทนบริษัท OUT SOURCE และสายการบินต่างๆ เพื่อให้รับทราบมาตรการดังกล่าวแล้ว ขณะที่การบินไทยได้ประชุมร่วมกับตัวแทนบริษัท OUT SOURCE แล้วเช่นกัน
ส่วนปัญหาที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ผู้บริหารฝ่ายบริการลานจอดและอุปกรณ์ภาคพื้นของการบินไทย ได้เรียกผู้บริหารบริษัท OUT SOURCE มาทำความเข้าใจอีกครั้ง เพื่อให้ช่วยทำความเข้าใจกับพนักงานให้ปฏิบัติตามมาตรการรักษาความปลอดภัยของทอท. และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ยังไม่มีผลกระทบต่อการให้บริการและเที่ยวบินของการบินไทย โดยบริษัทได้เตรียมมาตรการรองรับ จัดเจ้าหน้าที่สำรองเพื่อทดแทนการปฏิบัติงานตามจุดต่างๆ หากมีความจำเป็น
ขณะที่มาตรการรักษาความปลอดภัยของการบินไทยนั้น จะมีการตรวจค้นพนักงานทุกคนที่เข้า-ออกในเขตพื้นที่บริเวณลานจอด บริเวณจุดคัดแยกกระเป๋าสัมภาระ และพื้นที่ที่กำหนดอย่างเคร่งครัดเป็นประจำ และได้จัดสถานที่และตู้เก็บของให้พนักงานใช้เก็บของใช้ส่วนตัว ซึ่งเป็นมาตรการที่สอดคล้องกับมาตรการรักษาความปลอดภัยของ ทอท.
นอกจากนี้ ยังมีพนักงานของบริษัท ไทยแอร์พอร์ตส์ กราวด์ เซอร์วิสเซส จำกัด(แท็กส์) ผู้ให้บริการขับเคลื่อนสะพานเทียบเครื่องบินในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ หยุดปฏิบัติงาน เนื่องจากไม่มั่นใจในการจ้างงานของแท็กส์ ซึ่งแท็กส์จะครบสัญญาจ้างดังกล่าวในวันที่ 15 ก.ย.นี้ และไม่ได้รับการต่อสัญญาจ้าง
ด้านนายนิรันดร์ ธีรนาทสิน ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ AOT กล่าวว่า ทอท.จะทำหนังสือเตือนแท็กส์ ผู้ให้บริการขับเคลื่อนสะพานเทียบเครื่องบินในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ซึ่งไม่สามารถควบคุมพนักงานให้ปฏิบัติหน้าที่ตามปกติได้ ส่งผลให้ทอท.ต้องส่งเจ้าหน้าที่จำนวน 49 คน ปฏิบัติหน้าที่แทน และทอท.จะเรียกค่าปรับจากแท็กส์ตามสัดส่วนของพนักงานที่หยุดงานในช่วงเวลาดังกล่าว ซึ่งเป็นไปตามเงื่อนไขสัญญาว่าจ้าง
อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารแท็กส์และผู้แทนจากผู้รับจ้างรายใหม่ ได้เจรจากับพนักงานโดยยืนยันว่าจะรับพนักงานแท็กส์เข้าทำงานในบริษัทใหม่ พนักงานแท็กส์จึงเริ่มทยอยปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ โดยงานหยุดงานดังกล่าวไม่กระทบต่อการให้บริการของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เพราะทอท.ได้ดำเนินการตามแผนฉุกเฉิน โดยการส่งเจ้าหน้าที่ทอท.ปฏิบัติหน้าที่แทน และกระจายการจอดของเครื่องบินไปยังลานจอดอากาศยานเพิ่มขึ้น เพื่อลดการใช้งานในส่วนของสะพานเทียบ