นายประชา เหตระกูล ประธานกรรมการ บมจ.เอ็มดีเอ็กซ์ (MDX) กล่าวว่า ในปี 52 คงเป็นเรื่องยากที่บริษัทจะได้เห็นกำไรสุทธิหลังจากครึ่งปีแรกขาดทุนถึง 47 ล้านบาท แต่ก็คาดว่ารายได้จะใกล้เคียงกับปีก่อนที่ 650 ล้านบาท
สำหรับธุรกิจพัฒนาที่ดินอุตสาหกรรมเกตเวย์ซิตี้ ตั้งเป้ายอดขายในปีนี้ไว้ที่ 50 ไร่ต่อปี เป็นเรื่องยากที่จะสามารถทำได้ เนื่องจากครึ่งปีแรกขายที่ดินได้เพียง 20 ไร่เท่านั้น ซึ่งรวมการขายที่ดินให้กับบริษัท พี.อี.ที. พลัส ล่าสุด จำนวน 16 ไร่ เพื่อตั้งโรงงานผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิล ที่คาดว่าบริษัทจะรับรู้รายได้จากการขายที่ดินดังกล่าวภายในปีนี้ 30 ล้านบาท
“ปีนี้รายได้คงเท่ากับปีก่อน แม้ครึ่งปีแรกรายได้ไม่มดีนก แต่เชื่อว่าครึ่งปีหลังจะดีกว่า โดยบริษัทหวังว่าจะมีรายได้จากการให้บริการสาธารณูโภค ทั้ง น้ำ ไฟ กำจัดขยะ ในนิคมอุตสาหกรรม เข้ามาทดแทนรายได้จากการขายที่ดินที่ลดลง ส่วนกำไรครึ่งปีหลังคงไม่สามารถทำได้ถึง 47 ล้านบาทที่ขาดทุนในช่วงครึ่งปีแรก คงเป็นเรื่องยากที่ปีนี้บริษัทจะมีกำไร"นายประชา กล่าว
นายประชา กล่าวอีกว่า บริษัทได้เข้าร่วมถือหุ้นในโครงการผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิลจากบรรจุภัณฑ์เก่ากับบริษัท พี.อี.ที. พลัส 2% ถือเป็นโอกาสการลงทุนใหม่ๆของบริษัทที่นอกเหนือจะขายที่ดินแล้วยังพร้อมเข้าร่วมกับกิจการต่าง ๆ ที่มีศักยภาพทดแทนการมุ่งเพียงแต่ขายที่ดินเพียงอย่างเดียว เนื่องจากธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมยังชะลอตัวจากปัจจัยเศรษฐกิจที่ซบเซา แม้ว่าจะมีการประเมินว่าเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวแต่บริษัทยังไม่เห็นสัญญาณการฟื้นตัว เพราะมีผู้สนใจเข้าเยี่ยมเพื่อลงทุนซื้อที่ดินในอุตสาหกรรมน้อยมาก ซึ่งอาจเป็นเพราะประเทศไทยมีปัญหาด้านการเมืองด้วย
ปัจจุบัน บริษัทมีที่ดินที่รอการขายในนิคมอุตสาหกรรมเกตเวย์ซิตี้ ประมาณ 500 ไร่ และมีที่ดินในบริเวณอำเภอแปลงยาว จังหวัดฉะเชิงเทราอีก 1 พันไร่ ที่รอการพัฒนา จึงไม่มีแผนซื้อที่ดินเพิ่มเติมอีกในขณะนี้
ส่วนธุรกิจโรงไฟฟ้ายังมีการเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโครงการโรงไฟฟ้าน้ำเทินหินบูนส่วนต่อขยายในประเทศลาวเป็น 500 เมกกะวัตต์จากปัจจุบัน 210 เมกกะวัตต์ โดยใช้เงินลงทุนประมาณ 200 ล้านสหรัฐ คาดว่าจะแล้วเสร็จปี 55 และบริษัทยังมองโครงการโรงไฟฟ้าในประเทศลาวอีก 2-3 โครงการแต่ยังไม่มีความชัดเจน เพราะต้องชะลอไปตามการรับซื้อไฟของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) เช่นเดียวกับโครงการน้ำงึม 3 ที่ยังคงอยู่ระหว่างการเจรจาค่าไฟกับกฟผ.ที่ยังไม่ได้ข้อสรุป
นอกจากนี้ บริษัทยังศึกษาการลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าในจีนและพม่า ซึ่งมีโอกาสด้านโรงไฟฟ้าค่อนข้างสูง
ปัจจุบัน บริษัทรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าที่อำเภอบางบ่อ ขนาด 350 เมกกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าเทินหินบูน