ผู้จัดการกองทุนรวมและโบรกเกอร์ มองต่างชาติยังเทน้ำหนักลงทุนหุ้นไทย คาดดัชนี SET มีโอกาสทะลุ 700 จุดภายใน 6 เดือน และ 750-770 จุดภายใน 1 ปี ขณะที่โอกาสร่วงหลุด 600 จุดคงยากแม้จะมียุบสภา เพราะเห็นงบโครงการไทยเข้มแข็งไหลเข้าระบบ ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจของไทยกระเตื้องดีขึ้น แต่ยอมรับว่าตลาดหุ้นไทยยังอิงกับการไหลเข้าของเงินทุนต่างชาติที่เข้า-ออกเร็วกว่าแต่ก่อน
นายพิชิต อัคราทิตย์ กรรมการผู้จัดการ บลจ.เอ็มเอฟซี(MFC) เชื่อว่า ต่างชาติยังให้น้ำหนักการลงทุน(Overweight)ตลาดหุ้นไทย โดยปกติภาวะตลาดหุ้นไทยไตรมาส 3 จะปรับตัวลง แต่ตอนนี้ยังไม่ลงเลย ถือเป็นเรื่องที่เหนือการคาดการณ์ โดยหลังจากเดือน เม.ย.52 สถานการณ์ตลาดหุ้นเริ่มดีขึ้น ผลประกอบการบริษัทหลักทรัพย์ดีขึ้น เนื่องจากปริมาณการซื้อขายดี ซึ่งการลงทุนกลับมาดีต่อเนื่องจนถึงกลางปีหน้า ระยะกลางยังไปได้ในภาคการส่งออก ธุรกิจอิเล็กโทรนิกส์ และชิ้นส่วนรถยนต์ แต่ตลาดหุ้นไทยก็ยังขึ้นลงไปตามเงินลทุนจากต่างประเทศ โดยปัจจุบันตัวเลขต่างชาติถือระยะยาวประมาณ 25% ที่เหลือเป็นเม็ดเงินระยะสั้น
ทั้งนี้ จากปัจจัยการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐบาลโครงการไทยเข้มแข็งที่ใส่เม็ดเงินเข้าในระบบ 2 แสนล้านบาท ถ้าหากได้ผลเป็นรูปธรรมสมเหตุสมผล จะส่งผลให้ภาคเอกชนลงทุนตาม ซึ่งหากมีการลงทุนจริงจะส่งผลดีต่อภาคเศรษฐกิจโดยรวมมาก
“ตลาดหุ้นไทยมองว่าจากนี้ไปอีก 1 ปีจะได้เห็นดัชนีระดับ 750-770 จุดได้ จากปัจจัยพื้นฐานต่างๆที่กำลังจะกลับมา ส่วนโครงการไทยเข้มแข็งของภาครัฐที่ใส่เงิน 2 แสนล้านบาทเชื่อว่าจะส่งผลดีในระยะสั้นถึงกลางปีหน้าแต่ห่วงเรื่องสภาพคล่องทางการเงินและภาวะการเมือง"นายพิชิต กล่าวในงานสัมมนา“จัดพอร์ตหากำไร รับเศรษฐกิจไทยกำลังฟื้น"
อย่างไรก็ตาม ยังกังวลเรื่องหนี้สาธารณะของประเทศร่ำรวยที่มีหนี้สาธาณะเกือบ 50% เมื่อเทียบกับจีดีพี หากประเมินในอีก 5 ปีข้างหน้าหนี้สาธารณะจะขึ้นไปถึง 120% และประเทศเหล่านี้อัตราคนชราเพิ่มมากขึ้นจึงอาจก่อปัญหาในอนาคตและกังวลว่ารัฐบาลเหล่านั้นจะแก้ปัญหาอย่างไร ซึ่งปัญหาเงินเฟ้อจะกลับมา ส่วนประเทศไทยในปี 55 หนี้สาธารณะจะอยู่ที่ 60% เมื่อเทียบกับจีดีพี ซึ่งไม่ค่อยกังวลมากนักเพราะภาคเศรษฐกิจมหภาคของไทยมีการดูแลค่อนข้างดี
ทั้งนี้ บลจ.เอ็มเอฟซีสนใจลงทุนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชีย โดยเฉพาะจีน โดยผ่านกองเอฟไอเอฟ(FIF) มองว่าเงินเริ่มไหลเข้ามายังภูมิภาคอาเซียนซึ่งมีเศรษฐกิจสดใส อาทิ ตัวเลขการส่งออกระหว่างกันในอาเซียนเดิมที่ 25% แต่ปัจจุบันเพิ่มเป็น 40% มองว่าพึ่งพาต่างชาติน้อย
ด้านนายสุชิล นารูลา กรรมการผู้จัดการ สายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย เชื่อว่าเศรษฐกิจโลกเริ่มมีการฟื้นตัว เงินทุนที่ไหลออกจากตลาดทุนไปค่อนข้างมาก มีโอกาสจะไหลกลับเข้ามา ซึ่งจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นไทย โดยมีโอกาสเห็นดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยที่ระดับ 700 จุด นับจากนี้ไป 6 เดือน ซึ่งมองการลงทุนในระยะสั้นมาก หากตลาดหุ้นปรับลดลงจะเป็นจังหวะซื้อลงทุน โดยตอนนี้ต่างประเทศให้น้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทย Overweight อยู่แล้ว
ถ้าตัวเลขทางเศรษฐกิจต่างๆกลับมาดีอีกครั้งจะช่วยตลาดทุนโดยรวมดี โดยจะมีเม็ดเงินต่างชาติไหลเข้าตลาดทุนไทย แต่การถือครองหุ้นของต่างชาติเมื่อ 2-3 ปีก่อนจะถือยาวประมาณ 9 เดือน แต่ตอนนี้ถือเพียง 2-3 เดือน โดยการเคลื่อนไหวรวดเร็วกว่าเดิมมากโดยความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นมักขึ้นอยู่กับบรรยากาศการลงทุนและการไหลเข้าของเงินซึ่งการลงทุนในหุ้นสภาพคล่องสูงกว่าการซื้อพันธบัตร หากมองปัจจัยค่าเงินบาทอยู่ที่ระดับ 34 บาท/ดอลลาร์ ต่อเนื่องโดยบล.กสิกรไทยประเมินว่าค่าเงินบาทแข็งค่าที่สุดที่ 33 บาท/ดอลล่าร์ แต่หากประเทศไทยต้องพึ่งพาการส่งออกค่าเงินก็ไม่สามารถแข็งค่าได้มากนักเพราะทางการดูแลอยู่
“ช่วงสั้น 1 เดือน ตลาดหุ้นไทยน่าจะมีการปรับตัวลดลงประมาณ 4-5 % ช่วงสั้นปรับลดและหาจังหวะเข้า และมองว่า 6 เดือน ดัชนีที่เหมาะสมที่ 710 จุด ถึงกลางปี 53 กังวลตัวน้ำมัน จะส่งผลต่อต้นทุนบริษัท มาร์จิ้นบริษัทที่เคยดีขึ้นเพราะการใช้สินค้าคงคลัง มาร์จิ้นจะเริ่มลงเพราะต้องมีการสั่งสินค้าใหม่ต้นทุนใหม่เชื่อว่าตลาดหุ้นไทยจะไม่หลุด 600 จุด มองว่ามีโอกาสลงทุนยังมีหากปรับตัวลดลง แต่หากยุบสภาดัชนีอาจปรับลดลงได้ 10% ซึ่งเป็นผลกระทบปกติเมื่อมีการยุบสภา" นายสุชิล กล่าว
สำหรับการการลงทุนแนะนำหุ้น PTTEP เกี่ยวข้องกับราคาน้ำมันโดยตรงซึ่งราคาน้ำมันเฉลี่ยปี 53 คาดว่าจะอยู่ที่ 80 ดอลล่าร์/บาร์เรล , หุ้น GLOW มองได้สิทธิรับเงินปันผลและการเติบโตในอนาคต และไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากปัจจัยเศรษฐกิจ
กลุ่มธนาคารใหญ่ยังน่าสนใจ อาทิ BBL มองว่าการเติบโตสินเชื่อสูงโดยเฉพาะสินเชื่อต่างชาติ กลุ่มโรงพยาบาล BH , BGH ได้ผลดีจากงบประมาณเกี่ยวกับคนชราจำนวนมาก
สำหรับกลุ่มสื่อสาร แนะนำลงทุนได้หวังว่าจะมีการประกาศ TOR ของการให้ใบอนุญาตระบบ 3G เชื่อว่าถ้าเกิดขึ้นจริงจะช่วยให้อุตสาหกรรมโทรคมนาคมยังไปได้อีกไกล โดยมองว่า TRUE มีความเสี่ยงสูงแต่ผลตอบแทนสูง, ADVANC เป็นหุ้นปลอดภัย ขณะที่ DTAC ถือว่ากลางๆ และดูหุ้นดูการจ่ายเงินปันผลสูง
บล.กสิกรไทย มองค่าเงินบาทระดับที่ 33 บาท/ดอลลาร์ มองว่าปัจจุบันนักลงทุนมองอัพไซต์ที่ผลตอบแทนการลงทุนในหุ้นมากกว่าการมองเรื่องค่าเงินบาท ตอนนี้การลงทุนในหุ้นให้ซื้อได้ถ้าปรับตัวลง โดยเลือกลงทุนบางกลุ่ม
ส่วนนายณสุ จันทร์สม กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน อีเอฟจี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวในงานสัมมนาว่า เรื่องสำคัญในการลงทุนของตลาดหุ้น คือ สภาพคล่อง อัตราแลกเปลี่ยนเป็นปัจจัยหลัก ซึ่งการลงทุนในตลาดหุ้นไทยเช่นเดียวกันแต่ความน่าสนใจยังน้อยกว่าตลาดหุ้นอื่นในเอเชีย อาทิ จีน สิงคโปร์
“การลงทุนในหุ้นต้องดู cycle ดูหุ้นตัวขนาดกลาง ขนาดเล็กบ้าง เพราะเสี่ยงน้อยกว่าหุ้นขนาดใหญ่ที่ขึ้นเร็วลงเร็วตามดัชนีตลาด กลุ่มธนาคารหลายตัวยังมีศักยภาพ พันธบัตรก็เป็นทางเลือกหนึ่งของการลงทุน แต่ต้องดูที่มีการการันตีและกำลังได้รับความนิยมลงทุน ทองบวกมาค่อนข้างเยอะแล้ว แต่ยังมีอัพไซต์ แต่ตอนนี้มองว่าการลงทุนในหุ้นน่าสนใจกว่าผลตอบแทนสูงกว่า" นายณสุ กล่าว