(เพิ่มเติม) "สตาร์ส ไมโครฯ"กำหนดช่วงราคา IPO ที่ 4.75-4.95 บ. สรุปราคาขาย 14 ก.ย.

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday September 7, 2009 16:02 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายประเสริฐ ตันตยาวิทย์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวาณิชธนกิจ บล.ทิสโก้ ในฐานะที่ปรึกษาการเงินของ บมจ.สตาร์ส ไมโครอิเล็กทรอนิกส์(ประเทศไทย) เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า สตาร์ส ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ฯ กำหนดช่วงราคาขายหุ้นแก่ประชาชนทั่วไป(IPO )ที่ 4.75-4.95 บาท โดยกำหนดวันจองซื้อ 16-18 ก.ย.นี้ และคาดว่าจะเข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์ในสัปดาห์ถัดไป

"สตาร์ส ไมโครฯจะมีการทำบุ๊คบิวด์ในวันที่ 11 กันยาที่จะถึงนี้ และหลังจากนั้นก็จะทำการเซ็นสัญญาแต่งตั้งอันเดอร์ไรต์ฯในวันที่ 14 ก.ย. พร้อมกับสรุปราคาขาย IPO ในวันเดียวกัน"นายประเสริฐ กล่าว

ทั้งนี้ บริษัทฯได้มีผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นด้วยกัน 4 ราย ได้แก่ บล.เอเชีย พลัส, บล.ธนชาต, บล.บีที และบล.เคจีไอ(ประเทศไทย)

บมจ.สตาร์ส ไมโครอิเล็กทรอนิกส์(ประเทศไทย)จะเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 92 ล้านหุ้น โดยบริษัทฯประกอบธุรกิจรับจ้างผลิตและประกอบชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ให้กับเจ้าของผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งรับจ้างผลิตอุปกรณ์และออกแบบผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ โดยบริษัทรับจ้างผลิตและประกอบชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์เพื่อส่งให้กับลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ

ผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่เป็นชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์สำหรับกลุ่มคอมพิวเตอร์ กลุ่มอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มเครื่องบันเทิง กลุ่มอุปกรณ์รถยนต์ กลุ่มอุปกรณ์สื่อสาร และกลุ่มความปลอดภัย เป็นต้น

นายพลศักดิ์ เลิศพุฒิภิญโญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง บมจ. สตาร์ส ไมโครฯ กล่าวว่า บริษัทฯ และที่ปรึกษาทางการเงิน เห็นว่าช่วงราคาดังกล่าวมีส่วนลดให้กับนักลงทุนค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับราคาที่นักวิเคราะห์จากหลาย ๆ บริษัทได้ประเมินเอาไว้ ทั้งนี้ที่ช่วงราคาดังกล่าวคิดเป็นอัตราส่วน PE Ratio ต่ำกว่า 7 เท่าในขณะที่หุ้นอิเล็กทรอนิกส์ในตลาดเทรดกันอยู่ระหว่าง 8-12 เท่า

ปัจุบัน บริษัทฯมีทุนจดทะเบียนทั้งสิ้น 736 ล้านบาท โดยเป็นทุนชำระแล้ว 552 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 276 ล้านหุ้น ราคาพาร์ 2 บาท/หุ้น และจะเสนอขาย IPO จำนวน 92 ล้านหุ้น เพื่อนำเงินไปใช้ปรับโครงสร้างทางการเงิน ซึ่งเมื่อเสร็จสมบูรณ์แล้วจะทำให้บริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อทุน(Net Interest Bearing Debt/Equity) ลดลงจากปัจจุบัน 1.1 เท่า

ส่วนอัตรากำไรต่อหุ้นสำหรับงวดครึ่งปีแรก (EPS) อยู่ที่ 0.42 บาท คิดเป็นอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) ที่ 23.1% นอกจากนี้ บริษัทมีวงเงินกู้ที่ยังไม่ได้ใช้อีกประมาณ 600 ล้านบาท ซึ่งทำให้บริษัทมีความมั่นคงทางการเงินเพิ่มขึ้นอีกขั้น และสามารถรองรับการขยายงานของลูกค้าได้เป็นอย่างดี

นายพลศักดิ์ กล่าวต่อว่า บริษัทฯ มีความมั่นใจอย่างสูงในการจะเข้าจดทะเบียน เนื่องจากมีผลประกอบการที่เติบโตสูงอย่างต่อเนื่อง คือกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 65% ติดต่อกัน 4 ปี แม้ในช่วงที่บริษัทฯได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกตกต่ำ นอกจากนี้รายได้รวมยังขยายตัวต่อเนื่องเช่นกัน โดยครึ่งปีแรก 52 บริษัทสร้างกำไรสุทธิ 115 ล้านบาท จากรายได้รวม 4,589 ล้านบาท แสดงถึงความสามารถของบริษัทในการเพิ่มการเติบโตของกำไรสุทธิประมาณ 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 51

ปัจจัยหลักในการเติบโตของบริษัทฯ มาจากกลยุทธ์ 3 High ของบริษัทคือ High-Tech มุ่งเน้นพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีเทคโนโลยีขั้นสูงสุด High-Growth จับตลาดผลิตภัณฑ์ที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างรุนแรงทั่วโลก อาทิ สมาร์ทโฟน โน๊ตบุ๊คคอมพิวเตอร์ และ High Margin มุ่งเน้นผลิตภัณฑ์ High-end ที่มีผลกำไรต่อหน่วยสูงทำให้บริษัทฯมีแนวโน้มที่จะสร้างผลกำไรที่ก้าวกระโดดเมื่อสินค้าออกสู่ตลาดจำนวนมากเริ่มจากครึ่งหลังของปี 52



เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ