ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กข่าวควบรวมกิจการ หนุนดาวโจนส์ปิดบวก 56.07 จุด

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday September 9, 2009 06:34 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (8 ก.ย.) เพราะได้รับแรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของสินค้าโภคภัณฑ์ และกระแสควบรวมกิจการที่ทำให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นต่อแนวโน้มเศรษฐกิจมากขึ้น

บลูมเบิร์กรายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์เพิ่มขึ้น 56.07 จุด หรือ 0.59% แตะที่ 9,497.34 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 8.99 จุด หรือ 0.88% ปิดที่ 1,025.39 จุด และดัชนี Nasdaq บวก 18.99 จุด หรือ 0.94% ปิดที่ 2,037.77 จุด

ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 1.32 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นบวกมากกว่าหุ้นลบในอัตราส่วน 22 ต่อ 7 ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาด Nasdaq มีอยู่ราว 2.01 พันล้านหุ้น

จอร์จ ชิพ นักวิเคราะห์จากบริษัท Scott & Stringfellow ในรัฐเวอร์จิเนีย กล่าวกับเอพีว่า ปัจจัยที่ช่วยหนุนดาวโจนส์ปิดในแดนบวกมาจากกระแสควบรวมกิจการ โดยล่าสุดบริษัท คราฟท์ ฟู้ดส์ อิงค์ (Kraft Foods Inc.) บริษัทผู้ผลิตอาหารรายใหญ่อันดับ 2 ของโลกที่ยื่นข้อเสนอซื้อกิจการแคดบิวรี พีแอลซี (Cadbury Plc) ผู้ผลิตขนมสัญชาติอังกฤษเป็นมูลค่า 1.02 หมื่นล้านปอนด์ (1.67 หมื่นล้านดอลลาร์) ซึ่งแม้ว่าแคดบิวรีปฏิเสธ แต่ความเคลื่อนไหวดังกล่าวได้จุดกระแสการควบรวมกิจการในยุโรปให้คึกคักขึ้น หลังจากที่อุตสหกรรมดังกล่าวเผชิญภาวะซบเซาอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา

ข่าวการควบรวมกิจการในครั้งนี้ทำให้บริษัท เอโวลูชั่น ซีเคียวริตีส์, แพนมัวร์ กอร์ดอน และ เคปเลอร์ แคปิตอล มาร์เก็ตส์ ต่างคาดการณ์ว่า แคดบิวรี อาจได้รับความสนใจจากอีกหลายบริษัทตั้งแต่ เนสเล่ เอสเอ ไปจนถึง เฮอร์ชีย์ โค และอาจขายกิจการได้ด้วยมูลค่าสูงสุดถึง 2.1 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยคาดว่าเนสเล่จะจับมือกับเฮอร์ชีย์ซื้อกิจการแคดบิวรี ส่วนบริษัทอื่นที่อาจร่วมวงเทคโอเวอร์แคดบิวรีประกอบด้วย เคลลอกก์ อิงค์ และ เป๊ปซี่โค อิงค์

การควบรวมบริษัทผลิตลูกกวาดครั้งใหญ่สุดเกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้ว เมื่อบริษัท มาร์ส อิงค์ ผู้ผลิตเอ็มแอนด์เอ็มส์ เข้าเทคโอเวอร์ ริกลีย์ และขึ้นแท่นผู้ผลิตลูกกวาดรายใหญ่สุดของโลกแทนที่แคดบิวรี อย่างไรก็ตาม หากแคดบิวรีตัดสินใจควบรวมกิจการกับคราฟท์ ก็จะมีส่วนแบ่งในตลาดขนมโลกราว 15% ซึ่งเท่ากับของมาร์ส ในขณะที่เนสเล่มีส่วนแบ่งตลาดอยู่ 7.6%

นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สหรัฐจะเปิดเผยในสัปดาห์นี้ โดยวันพุธ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเปิดเผยรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจหรือ Beige Book วันพฤหัสบดีจะมีการเปิดเผยรายงานจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และข้อมูลการค้าระหว่างประเทศเดือนก.ค.

วันศุกร์จะมีการเปิดเผยราคานำเข้าและส่งออกเดือนส.ค., ดัชนีความเชื่อมั่นขั้นต้นเดือนก.ย. และรายงานตัวเลขงบประมาณของรัฐบาลกลางประจำเดือนส.ค.

ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่สูงขึ้นช่วยหนุนหุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ดีดตัวขึ้นด้วย โดยหุ้นฟรีพอร์ท-แมคมอแกน คอปเปอร์ แอนด์ โกลด์ พุ่งขึ้น 3% หุ้นชลัมเบอร์เกอร์เพิ่มขึ้น 4%

ส่วนหุ้นเจนเนอรัล อิเล็กทริก ปิดบวก 4.5% หลังจากเจพีมอร์แกนปรับเพิ่มน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นดังกล่าว ขณะที่กระแสตอบรับเรื่องข่าวการควบรวมกิจการได้หนุนหุ้นแคดบิวรีปิดพุ่ง 38.5% แต่หุ้นคราฟท์ปิดลบ 5.9%


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ