ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดปรับตัวลดลงเมื่อคืนนี้ (11 ก.ย.) หลังปรับตัวสูงขึ้นติดต่อกัน 5 วันทำการ และหลังจากที่ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลง 3.7% จนส่งผลกระทบต่อหุ้นกลุ่มน้ำมันบางตัว แม้จะมีปัจจัยบวกอย่างการที่ เฟดเอ็กซ์ คอร์ป คาดการณ์ว่าจะมีกำไรมากขึ้น และการที่สหรัฐรายงานตัวเลขค้าส่งที่ดีขึ้นก็ตาม
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดลบ 22.07 จุด หรือ 0.2% แตะที่ 9,605.41 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดลบ 1.41 จุด หรือ 0.1% แตะที่ 1,042.73 จุด และดัชนี Nasdaq ปิดลบ 3.12 จุด หรือ 0.2% แตะที่ 2,080.90 จุด
สำหรับทั้งสัปดาห์ ดัชนีดาวโจนส์บวก 1.7%, ดัชนี S&P 500 บวก 2.6% และดัชนี Nasdaq ทะยาน 3.1%
การคาดการณ์ผลกำไรของเฟดเอ็กซ์เป็นสิ่งที่สำคัญมาก เนื่องจากธุรกิจขนส่งสินค้าสามารถบ่งชี้ความแข็งแกร่งของสภาพเศรษฐกิจได้ โดยเฟดเอ็กซ์อ้างว่าบริษัทส่งสินค้าไปยังต่างประเทศมากขึ้นและมีการลดต้นทุนอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกันกระทรวงพาณิชย์ก็รายงานตัวเลขค้าส่งที่ปรับตัวสูงขึ้นมากสุดในรอบกว่า 1 ปีในเดือนกรกฎาคม ส่งผลให้จำนวนสินค้าในสต็อกลดลงเป็นเดือนที่ 11 ติดต่อกัน ทำให้บริษัทต่างๆ ต้องผลิตสินค้าเข้ามาชดเชยในสต็อก ซึ่งถือเป็นสัญญาณทางเศรษฐกิจที่ดี
ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับตัวสูงขึ้นและสัญญาณการทำสัญญาระหว่างองค์กรที่เพิ่มขึ้นหนุนให้ตลาดหุ้นปรับตัวสูงขึ้นตลอดสัปดาห์ เนื่องจากนักลงทุนเชื่อว่าราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่สูงขึ้นเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่ากิจกรรมทางอุตสาหกรรมอาจกระเตื้องขึ้น และการที่คราฟท์ ฟู้ดส์ อิงค์ ยังไม่ประสบความสำเร็จในการขอซื้อกิจการ แคดบิวรี พีแอลซี ยังถือเป็นสัญญาณที่บ่งชี้ว่าบริษัทในสหรัฐเริ่มมีความมั่นใจในสถานะภาพของตัวเองมากขึ้น
ทั้งนี้ ตัวเลขเศรษฐกิจที่จะได้รับการเปิดเผยในสัปดาห์หน้าอาจช่วยให้นักลงทุนรู้ว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวตามที่คาดไว้หรือไม่ โดยข้อมูลที่จะได้รับการเปิดเผยประกอบด้วย ยอดค้าปลีก ผลผลิตอุตสาหกรรม และอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งนักวิเคราะห์ให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับยอดค้าปลีก เนื่องจากการใช้จ่ายผู้บริโภคมีสัดส่วนถึง 70% ของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในสหรัฐ