SABINA คาดปี 52 รายได้ตก 15% มาที่ 1.7 พันลบ.อัตรากำไรสุทธิเหลือ 1%

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday September 14, 2009 10:15 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายบุญชัย ปัณฑุรอัมพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ซาบีน่า (SABINA)คาดว่า รายได้และกำไรสุทธิในปีนี้น่าจะออกมาต่ำกว่าปีก่อน โดยในส่วนของรายได้คาดว่าจะทำได้ราว 1.7 พันล้านบาท ลดลง 15% จากปีก่อนที่มีรายได้ 1.9 พันล้านบาท

ส่วนกำไรปรับลดลง มาจากอัตรากำไรขั้นต้น(Gross Profit)ที่ปรับลดลงมามากเหลือแค่กว่า 20% จากปีก่อนอยู่ที่ระดับ 36.7% เป็นผลจากการแข่งขันด้านราคา ซึ่งส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิ(Net Profit Margin)ลดลงตาม โดยคาดว่าในปีนี้จะลดลงไปเหลือ 1% จากปีก่อนอยู่ที่ระดับ 9% หรือกำไรสุทธิปีก่อน 180.25 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม คาดว่ารายได้ในครึ่งปีหลังจะดีกว่าครึ่งปีแรกที่มีรายได้ 758 ล้านบาท แต่สำหรับกำไรยังไม่มั่นใจว่าจะสูงขึ้นหรือไม่ โดยครึ่งปีแรกมีกำไรสุทธิ 12.22 ล้านบาท โดยยอดขายในประเทศยังดีต่อเนื่อง เป็นผลจากการที่บริษัทรุกทำการตลาดมากขึ้น เพื่อกระตุ้นตลาด ด้วยการออกคอลเลคชั่นใหม่ทุกเดือน ขณะที่ลูกค้าต่างประเทศที่เคยหยุดจ้างผลิตก็เริ่มกลับเข้ามา แต่ยังมีปริมาณคำสั่งค่อนข้างน้อย

"คิดว่าครึ่งปีหลังจะทำได้ดีกว่าครึ่งปีแรก เราคิดว่าจะดึงยอดขายกลับมาก่อน เราลดราคาให้ เพื่อจะได้ออกของใหม่เร็วขึ้น ...คิดว่าไตรมาส 3 ก็จะดีกว่าไตรมาส 2 และไตรมาส 4 ก็จะดีกว่าไตรมาส 4 ปีหน้าก็จะกลับมาดี" นายบุญชัย กล่าว

ปัจจุบัน บริษัทใช้กำลังการผลิต 80% ของการผลิตทั้งหมดที่มี 13 ล้านชิ้น/ปี ใกล้เคียงกับปีก่อน โดยบริษัทมีโรงงาน 4 โรง ที่ท่าพระ, พุทธมณฑลสาย 5, ชัยนาท และ ยโสธร

นายบุญชัย กล่าวว่า บริษัทได้ปรับกลยุทธ์การรุกตลาดต่างประเทศ จากเดิมที่บริษัทเน้นการรับจ้างผลิตตามคำสั่ง(OEM)ของลูกค้าต่างประเทศ เพราะอัตรากำไรน้อยมาก แม้ว่าจะมีปริมาณการผลิตมาก ก่อนหน้านี้จึงได้วางแผนจะลดสัดส่วน OEM มาเหลือ 30% ในปี 54 จากเดิมอยู่ที่ 70% และจะหันมาเน้นส่งออกเองภายใต้แบรนด์ SABINA เพื่อจะได้กำไรมากขึ้น

แต่หลังจากเกิดวิกฤติเศรษฐกิจในปี 51 ยอดคำสั่งซื้อจากสหรัฐลดลง ทำให้สัดส่วนงาน OEM ในปีที่แล้วลดลงเหลือ 50% จาก 70% ในปี 50 และในปีนี้ยอดคำสั่งซื้อจากอังกฤษก็ลดฮวบ ทำให้สัดส่วน OEM ลดลงเหลือ 30% ขณะที่สัดส่วนขายในประเทศเพิ่มเป็น 70%โดยยอดขายในประเทศปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 1.2 พันล้านบาท จากปีก่อน 1 พันล้านบาท ขณะที่รายได้จาก OEM ลดเหลือประมาณ 500 ล้านบาท

"การที่เกิดวิกฤติรอบนี้ทำให้บริษัททำให้เป้าหมายที่บริษัทตั้งไว้ ที่ 30% เร็วขึ้นกว่าแผน เพราะเราก็ไม่ต้องการได้ เพราะลูกค้าสั่งปริมาณลดลง ทำแล้วก็ไม่คุ้ม และยังขอเครดิตยาว 60 วัน 90 วัน 120 วัน แถมกดราคาอีก เราก็เลือกลูกค้าที่ดีเอาไว้ก็พอ และเราคิดว่า keep สัดส่วน 30% อย่างนี้ไว้ " นายบุญชัยกล่าว

ขณะที่บริษัทให้ความสำคัญกับการทำตลาดในประเทศเพิ่มขึ้น และพยายามลดต้นทุนเพื่อให้ได้กำไรที่ดึขึ้น ประกอบกับค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น การส่งออกย่อมส่งผลกระทบต่อรายได้ของบริษัท โดย SABINA มียอดขายใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจาก วาโก้

แต่พร้อมกันนั้น บริษัทก็ได้เริ่มรุกตลาดส่งออกภายใต้แบรนด์ของตัวเองเมื่อปีก่อน และปีนี้ก็คาดว่าจะมีสัดส่วน 5% ได้แก่ สิงคโปร์ ดูไบ อินเดีย และอิหร่าน โดยแบรนด์ที่ทำการตลาดในประเทศและส่งออก หลักๆ ได้แก่ SABINA, sbn sport, Sabinie มีจุดขายในประเทศเกือบ 400 แห่ง

นายบุญชัย กล่าวว่า ปีนี้บริษัทยังไม่มีแผนขยายกำลังผลิตจนกว่าเศรษฐกิจจะกลับมาดีขึ้นอย่างชัดเจน ซึ่งปัจจัยลบยังมีเรื่องการเมือง, การแพร่ระบาดไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 รวมทั้ง เรื่องท่องเที่ยว แต่หากจะผลิตเพิ่ม โรงงานที่ยโสธรก็ยังขยายกำลังการผลิตได้อีก เพราะมีเนื้อที่รองรับไว้อยู่แล้ว ขณะเดียวกัน ไม่มีแผนที่จะขยายไปลงทุนในต่างประเทศ

"คิดว่าเราผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว แต่ผมก็ยังกังวล เรื่องการเมือง ส่วนภาวะเศรษฐกิจถึงจะยังไม่ดี เราก็ยังเอาตัวรอดได้" นายบุญชัย กล่าว

นอกจากนี้ บริษัทยังได้นำการผลิตแบบลีน(Lean Manufacturing)เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต ซึ่งทำให้บริษัทช่วยลดต้นทุน ลดความสูญเสีย สามารถผลิตได้ทันเวลา และยังสามารถนำทรัพยากรที่มีอยู่นำมาใช้ได้อย่างคุ้มค่า รวมถึงเพิ่มคุณภาพในการผลิต



เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ