การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.)ปรับแผนผลิตกระแสไฟฟ้าอีกครั้งหลังประสบปัญหาการจัดส่งก๊าซธรรมชาติเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงเดินเครื่องกำเนิดไฟฟ้าขัดข้อง โดยเพิ่มการเดินเครื่องโรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนรัชชประภา, การขอซื้อไฟฟ้าจากประเทศมาเลเซีย และ เดินเครื่องผลิตไฟฟ้าด้วยน้ำมันเตาที่โรงไฟฟ้าราชบุรี เพื่อรักษาความมั่นคงของระบบไฟฟ้าของประเทศ โดยยืนยันจะไม่เกิดปัญหาไฟฟ้าตกและไฟฟ้าดับ
นายวิรัช กาญจนพิบูลย์ รองผู้ว่าการกิจการสังคมและสิ่งแวดล้อม ในฐานะโฆษก กฟผ.เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 12-14 ก.ย.ที่ผ่านมา ได้เกิดเหตุการณ์ขาดเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติในการผลิตกระแสไฟฟ้าขึ้นหลายครั้ง เนื่องจากเกิดปัญหาที่แหล่งก๊าซ JDA-18 ในอ่าวไทย และแหล่งก๊าซเยตากุนในพม่า
แหล่ง JDA-18 ได้หยุดทำงานไป 2 ครั้ง คือ ครั้งแรกเมื่อวันที่ 12 ก.ย.52 เวลา 09.47 น.และกลับมาจ่ายก๊าซให้โรงไฟฟ้าจะนะได้ในเวลา 15.30 น.รวมเวลาหยุดจ่ายก๊าซ 5 ชั่วโมง 43 นาที และจากการหยุดจ่ายก๊าซครั้งนี้ทำให้มีก๊าซที่คุณภาพไม่เหมาะสมจำนวนหนึ่งถูกส่งมาที่โรงไฟฟ้าจะนะ ทำให้ กฟผ.ต้องหยุดผลิตไฟฟ้าที่โรงไฟฟ้าจะนะ
ส่วนครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 13 ก.ย.52 เกิดเหตุแหล่งก๊าซ JDA-18 หยุดจ่ายก๊าซอีกครั้งระหว่างเวลา 17.14 น.ถึงเวลา 02.35 น. ของวันที่ 14 ก.ย.52 รวมหยุดจ่ายก๊าซไป 9 ชั่วโมง 14 นาที
สำหรับแหล่งเยตากุนนั้นมีการปฏิบัติงานย้ายแท่นเจาะ ส่งผลให้ต้องลดการจ่ายก๊าซลง 2 ครั้ง คือ ครั้งแรกเมื่อวันที่ 12 ก.ย.52 เวลา 11.30 น. และกลับมาจ่ายก๊าซเข้าระบบได้เป็นปกติในเวลา18.30 น. และครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 13 ก.ย.52 เวลา 01.40 น.และกลับมาจ่ายก๊าซเป็นปกติในเวลา 10.55 น.
โฆษก กฟผ. กล่าวว่า เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของระบบไฟฟ้าของภาคใต้และของประเทศ ทำให้ กฟผ.ต้องปรับแผนการผลิตไฟฟ้าใหม่ โดยเพิ่มการเดินเครื่องของโรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนรัชชประภา จ.สุราษฎร์ธานี ต้องซื้อไฟฟ้าจากประเทศมาเลเซียมาเสริมระบบ และเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าด้วยน้ำมันเตาที่โรงไฟฟ้าราชบุรี เพื่อรักษาความมั่นคงของระบบไฟฟ้าของประเทศและรองรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น