ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (15 ก.ย.) เพราะได้รับแรงหนุนจากรายงานยอดค้าปลีกและข้อมูลภาคการผลิตที่ดีเกินคาดของสหรัฐ นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยบวกจากเบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ระบุว่า ภาวะเศรษฐกิจถดถอยรุนแรงในสหรัฐมีแนวโน้มที่จะสิ้นสุดลง
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวก 56.61 จุด หรือ 0.59% แตะที่ 9,683.41 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดบวก 3.29 จุด หรือ 0.31% แตะที่ 1,052.63 จุด และดัชนี Nasdaq ปิดบวก 10.86 จุด หรือ 0.52% แตะที่ 2,102.64 จุด
ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 1.5 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นบวกมากกว่าหุ้นลบในอัตราส่วน 12 ต่อ 5 ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาด Nasdaq มีอยู่ราว 2.4 พันล้านหุ้น
ไรอัน ลาร์สัน นักวิเคราะห์จากบริษัท Voyageur Asset Management กล่าวกับเอพีว่า ภาวะการซื้อขายในตลาดคึกคักขึ้นหลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่ายอดค้าปลีกโดยรวมในเดือนส.ค.พุ่งขึ้น 2.7% ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นรายเดือนครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนม.ค.2550 และมากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะขยับขึ้นเพียง 2.0% ส่วนยอดค้าปลีกที่ไม่รวมยอดขายรถยนต์พุ่งขึ้น 1.1% ในเดือนส.ค. มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะขยับขึ้นเพียง 0.4%
ขณะที่เฟดสาขานิวยอร์กรายงานว่า ดัชนีภาคการผลิต (Empire State Index) เพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบเกือบ 2 ปีที่ 18.88 จุดในเดือนก.ย. จากระดับ 12.08 ในเดือนส.ค. ซึ่งสนับสนุนมุมมองของหลายฝ่ายที่ว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะขยายตัวในไตรมาส 3
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยบวกจากการที่เบอร์นันเก้แสดงความคิดเห็นเนื่องในวาระครบรอบ 1 ปีแห่งการล้มละลายของเลห์แมน บราเธอร์ส ว่า ภาวะเศรษฐกิจถดถอยรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 1930 ใกล้มีแนวโน้มที่จะสิ้นสุดลง แต่เบอร์นันเก้ยังคงแสดงความวิตกกังวลเกี่ยวกับอัตราว่างงานที่พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง
"อย่างไรก็ตาม ภาวะการซื้อขายโดยรวมยังคงผันผวนและมีแรงขายส่งเข้ามาสกัดแรงซื้อเป็นระยะๆ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่านักลงทุนจำนวนมากยังขาดความเชื่อมั่นต่อตลาดและแนวโน้มเศรษฐกิจ โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากผลสำรวจความคิดเห็นของชาวอเมริกันที่ระบุว่า ชาวอเมริกันส่วนใหญ่ไม่มั่นใจว่ารัฐบาลสหรัฐจะสามารถแก้ปัญหาในภาคการเงินได้ และเชื่อว่าเหตุการณ์สถาบันการเงินล้มละลายอาจเกิดขึ้นอีกหลังจากเลห์แมน บราเธอร์ส ล้มละลายเมื่อปีที่แล้ว" ลาร์สันกล่าว
หุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์และกลุ่มอุตสาหกรรมดีดตัวขึ้นเพราะได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ โดยหุ้นอัลโค อิงค์ ปิดบวก 8.1% หุ้นแคทเทอร์พิลลาร์ อิงค์ ปิดพุ่ง 6%