บมจ.ปตท.(PTT)เตรียมเดินหน้าลงทุนโครงการวางท่อส่งก๊าซเส้นที่ 4 โดยอาศัยจังหวะที่ราคาเหล็กยังถูกอยู่สรุปการจัดซื้อตัวท่อส่งก๊าซให้ได้ภายในปี 53 จากนั้นจะเริ่มลงมือก่อสร้างได้ทันที ซึ่งเร็วกว่าที่คาดไว้ พร้อมันนั้นก็จะมีการทบทวนแผนงานจากเดิมที่คาดว่าจะแล้วเสร็จเฟสแรกปี 55 และทั้งโครงการในปี 57 ซึ่งเบื้องต้นมูลค่าลงทุนในโครงการนี้อาจจะต่ำกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ตามแผนเดิม
ส่วนโครงการโรงแยกก๊าซแห่งที่ 7 ยังคงต้องชะลอออกไปไม่มีกำหนด เนื่องจากปริมาณการใช้ก๊าซไม่ได้สูงขึ้นมากอย่างที่คาดไว้ จากผลกระทบเศรษฐกิจหดตัว หากลงทุนสร้างไปอาจมีลูกค้าไม่คุ้ม และทาง ปตท.ก็ต้องการเสนอให้กลุ่มปิโตรเคมีในเครือหลักลงทุนแทน เพราะเป็นกลุ่มผู้ใช้หลัก
นายเพิ่มศักดิ์ ชีวาวัฒนานนท์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจก๊าซธรรมชาติ PTT เปิดเผยว่า โรงแยกก๊าซแห่งที่ 7 จากแผนเดิมที่คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในปี 54 และจะแล้วเสร็จในปี 58-59 แต่ขณะนี้การก่อสร้างล่าช้าออกไปไม่มีกำหนด เนื่องจากปริมาณความต้องการใช้ก๊าซชะลอตัวมาก คงต้องรอกลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ๆ อาทิ โรงไฟฟ้า หรือปิโตรเคมี มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม PTT ต้องการให้กลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีเป็นผู้ลงทุนในโรงแยกก๊าซแห่งที่ 7 เนื่องจากเป็นลูกค้ารายหลักอยู่แล้ว ส่วนที่เหลือจะขายไปยังตลาดภายนอก
อนึ่ง แผนเดิมโรงแยกก๊าซแห่งที่ 7 จะมีกำลังการการแยกก๊าซ 600-700 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน แม้ว่าจะชะลอไป แต่บริษัทยังมีโรงแยกก๊าซแห่งที่ 6 คาดว่าจะเปิดใช้ได้ปลายปีนี้ โดยมีกำลังการแยกก๊าซ 850 ล้านลบ.ฟุต/วัน เชื่อว่าจะเพียงพอต่อปริมาณการใช้อยู่แล้ว
"ทุกวันนี้การผลิตก๊าซของ ปตท.ส่วนที่เหลือจากการใช้ในกลุ่มแล้ว บริษัทต้องขายออกไป และแบกรับภาระส่วนต่างราคาที่ต่ำกว่าต้นทุน และขณะนี้เงินที่รัฐจะชดเชยให้เดือนละ 300 ล้านบาทก็ยังไม่เคยได้รับ ดังนั้นถ้าเอกชนใดต้องการทำ ปตท.ก็ไม่ได้ปิดกั้น เพราะธุรกิจนี้ไม่ได้ผูกขาดว่าต้องเป็น ปตท.ลงทุนแต่เพียงผู้เดียว"นายเพิ่มศักดิ์ กล่าว
สำหรับโรงแยกก๊าซแห่งที่ 6 ขณะนี้ใช้วัตถุดิบเป็นก๊าซ LPG 1 ล้านตันในการผลิต ส่วน LNG ที่มีการเซ็น MOU ซื้อจากการ์ต้า 1 ล้านตัน ขณะนี้ยังรอการอนุมัติให้นำเข้าจากคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.)
นายเพิ่มศักดิ์ กล่าวถึงปัญหาเหตุขัดข้องในการส่งก๊าซให้กับโรงไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.)ในช่วงที่ผ่านมานั้น ทางปตท.จะได้หารือกับทางคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน(เรคกูเลเตอร์)เพื่อเตรียมแนวทางรองรับสถานการณ์ และป้องกันความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
เนื่องจากที่ผ่านมาปัญหาที่เกิดขึ้นแม้ว่าจะผลสูญเสียด้านปริมาณก๊าซไม่มากนัก แต่ประชาชนในพื้นที่จ.กาญจนบุรีได้รับผลกระทบ ดังนั้นควรจะมีการกำกับดูแลไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก แต่เชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อการผลิตไฟของกฟผ. เนื่องจากปัจจุบันปริมาณก๊าซมีเพียงพอต่อการใช้ และหากไม่เพียงพอ บริษัทก็มีปริมาณน้ำมันเตาและดีเซลสำรองไว้เพื่อใช้ผลิตกระแสไฟฟ้า
นอกจากนี้ ในอนาคตในปี 56 บริษัทจะมีปริมาณก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้นจากแหล่ง M9 และแหล่งบงกชใต้ ทำให้ไม่กังวลว่าก๊าซจะไม่เพียงพอ