KC ลุ้นการเมืองนิ่งปัดฝุ่นเจรจาพันธมิตรสิงคโปร์,แผนปี 53ผุดคอนโดฯLow Rise

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday September 17, 2009 12:34 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายอภิสิทธิ์ งามอัจฉริยะกุล ประธานกรรมการบริหาร และกรรมการผู้จัดการ บมจ.เค.ซี.พร็อพเพอร์ตี้(KC)เปิดเผย ว่า ที่ผ่านมามีพันธมิตรจากจีนและสิงคโปร์เข้ามาหารือด้วย โดยในส่วนของพันธมิตรจากจีนเข้ามาคุยด้วย 1-2 ราย แต่ยังไม่ได้ลงลึกรายละเอียดมากนัก ซึ่งจะมีรายที่คุยกันมากหน่อยเพียงรายเดียว เป็นองค์กรกึ่งรัฐวิสาหกิจกึ่งเอกชนที่ทำธุรกิจโรงไฟฟ้าและต้องการแตกไลน์ธุรกิจมาพัฒนาสังหาริมทรัพย์

ส่วนกับสิงคโปร์นั้น เมื่อประมาณ 2 ปีก่อนที่จะเกิดการปฏิวัติรัฐประหาร 19 ก.ย.49 เคยมีบริษัทที่ทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ของสิงคโปร์มาเจรจาขอเป็นพันธมิตรด้วย และมีการพูดคุยกันในรายละเอียดไปค่อนข้างมาก แต่การเจจาต้องหยุดชะงักไป เนื่องจากเกิดการทำรัฐประหารในช่วงนั้นพอดี และตั้งแต่นั้นมาสถานการณ์การเมืองบ้านเราก็ยังวุ่นวายไม่จบไม่สิ้นมาจนถึงทุกวันนี้

อย่างไรก็ตาม นายอภิสิทธิ์ มองว่า หากการเมืองภายในประเทศนิ่ง และสถานการณ์ทุกอย่างเริ่มกลับมาเป็นปกติ ก็อาจจะมีการปัดฝุ่นโต๊ะเจรจากันใหม่ก็ได้

"ที่ผ่านมากับจีนก็มีติดต่อมาบ้าง เป็นการคุยผ่านๆ แต่ก็ไม่ได้ลึก ผมถือว่าไม่คืบหน้าเหมือนกับที่คุยกับสิงคโปร์ เพราะอันนั้นถือว่าคุยกันไปลึกมากเลย คุยกันไปไกลมากพอสมควร มีความเข้าใจกันดี คือถ้าไม่มีการปฏิวัติขึ้นมาซะก่อน ป่านนี้คงได้มีการจับคู่แต่งงานกันไปแล้ว แต่ก็ไม่แน่ถ้าการเมืองเริ่มกลับมานิ่งก็อาจจะกลับมาเจรจากันใหม่ แต่คงไม่ใช่เร็วๆ นี้หรอก ถ้าการเมืองยังเป็นแบบนี้อยู่ และเราก็ไม่รีบด้วย"นายอภิสิทธิ์ กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"

นายอภิสิทธิ์ กล่าวถึงรายละเอียดที่เคยเจรจากับพันธมิตรสิงคโปร์ว่า เบื้องต้นตั้งใจจะให้มาช่วยบริษัทพัฒนโครงการแนวสูง High Rise 30-40 ชั้น เนื่องจาก KC ถนัดพัฒนาโครงการแนวราบ ซึ่งขณะนี้มีแนวคิดจะเริ่มต้นจากการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม ประเภท Low Rise สูงไม่เกิน 8 ชั้น

"ใจอยากจะทำแนวสูงประมาณ 8 ชั้น คงจะทำเอง ปีหน้าอาจจะได้เห็น ส่วนแนวสูงประเภท 30-40 ชั้นอาจจะรอพันธมิตรมาช่วยกัน"นายอภิสิทธิ์ กล่าว

นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ฐานะการเงินของ KC อยู่ในระดับที่ดี มีกระแสเงินสดในมือเกือบๆ 100 ล้านบาท และยังมีเงินจากการโอนบ้านให้ลูกค้าทยอยเข้ามาเรื่อยๆ นอกจากนี้ ยังมีวงเงินกู้ที่ได้รับการอนุมัติจากสถาบันการเงิน ขณะที่อัตราหนี้สินต่อทุน(D/E)ปัจจุบันอยู่ที่ 1:1 ถือว่าไม่เป็นปัญหา

นอกจากนี้ บริษัทยังมีที่ดินในมืออยู่อีก 300-400 ไร่ กระจายอยู่ตตามที่ต่างๆ คาดว่าสามารถรองรับการพัฒนาโครงการได้นานอีก 3-4 ปี ส่วนการลงทุนปี 52 นี้คงไม่มีการเปิดโครงการใหม่แต่คงจะเป็นการขยายเฟสของหลายโครงการในมือที่กำลังพัฒนาอยู่ โดยตั้งงบลงทุนทั้งปีไว้ประมาณ 300-400 ล้านบาท ขณะนี้ใช้ไปแล้ว 65%

"ถามถึงฐานะการเงิน ผมก็ยืนยันว่า เงินสดในมือเรายังโอเค ไม่เหลือเฟือแต่ก็ไม่ขาดแคลน เงินลงทุนปีนี้ก็คงไม่ใช้อะไรมากคงแค่ขยายเฟส ที่ดินเราก็ยังมีเหลือตั้งเยอะเกือบ 300-400 ไร่ ส่วนที่ดินใหม่ๆ ก็ดูอยู่ แต่เรามองว่าที่ดินแนวราบเงินมันจมเยอะเพราะขายช้า ทำให้เรามีแนวคิดที่จะหันมาทำโครงการแนวสูงประเภท 8 ชั้นบ้าง"นายอภิสิทธิ์ กล่าว


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ