นายพัชวัฏ คุณชยางกูร ประธานกรรมการ บมจ.สามชัย สตีล อินดัสทรี(SAM)ผู้ผลิตและจำหน่ายท่อเหล็กใช้ในงานอุตสาหกรรมก่อสร้างและเฟอร์นิเจอร์ ระบุว่า คำสั่งซื้อจากลูกค้าฟื้นตัวขึ้นมาแล้วราว 10% โดยเริ่มเห็นสัญญาณตั้งแต่เดือน ก.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นออร์เดอร์จากลูกค้าเก่า แต่การฟื้นตัวนี้ไม่แน่ใจว่ามาจากความต้องการสินค้าที่สูงขึ้นจริง หรือต้องการสั่งซื้อเพื่อสต็อกไว้ เพราะเกรงว่าราคาเหล็กจะปรับเพิ่มขึ้น
ประกอบกับ ขณะนี้ยังมีความไม่แน่นอนทั้งเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย ถึงแม้จะมองว่าเศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นตัวบ้างแล้วก็ตาม จากปัจจัยตรงนี้คงจะทำให้บริษัทยังไม่มีการลงทุนใหม่ ๆ โดยปัจจุบันบริษัทมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 60% ลดลงจากปีก่อน ซึ่งอยู่ที่ 80%
นายพัชวัฎ กล่าวว่า จากปัญหาที่เกิดขึ้นบริษัทคงทำได้แค่การประคองไม่ให้ขาดทุนและรอดูสถานการณ์ให้ชัดเจนว่าออร์เดอร์จะฟื้นตัวได้จริงหรือไม่ แต่ในแง่ของรายได้ยอมรับว่าคงจะลดลงราว 10% จากปีก่อนที่มีรายได้ 4 พันล้านบาท เนื่องจากราคาเหล็กปรับลดลงมากในช่วงก่อนหน้า และถึงแม้ราคาจะปรับขึ้นในไตรมาส 3/52 แต่คงไม่สามารถชดเชยได้ทั้งหมด
“ตอนนี้ผมไม่รู้ว่าการฟื้นตัวเป็นของจริงหรือไม่ ไม่รู้ว่าที่ซื้อเป็นการตุนเพราะกลัวราคาเหล็กจะปรับขึ้นหรือเปล่า เราเองก็ทำได้โดยการสต็อคให้เพียงพอ ในเมื่อเราเห็นว่าวัตถุดิบมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น ภาวะเช่นนี้ลูกค้าใหม่เราก็ไม่กล้าขาย ไม่กล้าเสี่ยง การประคองตัวได้ในปีนี้ก็ถือว่าเก่งแล้ว และปีหน้าค่อยมาว่ากัน"นายพัชวัฎ กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"
ก่อนหน้านี้ SAM ชี้แจงผลประกอบการปี 51 มีรายได้จากการขายจำนวน 4,711.10 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.24% จากปีก่อนหน้า เนื่องมาจากราคาจำหน่ายท่อเหล็กทุกประเภทโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้น แม้ว่าปริมาณการจำหน่ายโดยรวมลดลง โดยบริษัทมีผลขาดทุนสุทธิ 67.35 ล้านบาท
ประธานบอร์ด SAM กล่าวอีกว่า ภาวะในขณะนี้บริษัทได้เน้นการให้ความสำคัญกับการรักษาระดับของกำไร โดยจะมีการทยอยปรับราคาขายสินค้าราว 10% ตามแนวโน้มราคาเหล็กที่เพิ่มขึ้น โดยจะมาอยู่ที่ประมาณ 21 บาท/กก. จากไตรมาส 2/52 ที่อู่ในระดับ 19 บาท/กก.
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการปรับราคาขายเหล็ก แต่ก็คงจะไม่ได้เห็นกำไรเพิ่มขึ้นมาก เพราะบริษัทยังคงมีสต็อกเหล็กที่ต้นทุนสูงอยู่บางส่วน ซึ่งบริษัทได้มีการปรับลดระยะเวลาในการสต็อควัตถุดิบไว้ไม่เกิน 2 เดือนสำหรับพอเท่าที่จะใช้ผลิตเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อการเก็งกำไร เพราะเกรงว่าหากสต็อกมากกว่า 2 เดือน อาจจะทำให้ขาดทุนจากสต็อคเหมือนที่เคยเกิดขึ้น
พร้อมกันนั้น ก็จะเน้นการขายสินค้าท่อเหล็กที่มีอัตรากำไร(มาร์จิ้น)สูงกว่าท่อปกติ 2-3% โดยท่อเหล็กปกติจะมีมาร์จิ้นเฉลี่ยที่ 7-8% ที่ผ่านมาเราก็พยายามบริหารงานด้วยการลดค่าใช้จ่าย ลดการสูญเสียในการผลิต ซึ่งถือว่าเป็นวิธีอีกทางที่จะช่วยในแง่ของกำไร ทำให้ปีนี้ก็คงไม่ขาดทุน แต่คงไม่กำไรมากมาย
"ถือว่าเป็นการวางแผนในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา เนื่องจากมองว่าจะเป็นการพยุงกำไรไม่ให้ปรับตัวลดลงแรง และยังเป็นการรองรับราคาเหล็กที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นในขณะนี้ ขณะเดียวกันยังเป็นการลดการแข่งขันที่ปัจจุบันมีการแข่งขันสูง" นายพัชวัฏ กล่าว