บมจ. คอมพาสส์ อีสต์ อินดัสตรี้ (ประเทศไทย) หรือ CEI แจ้งความคืบหน้าของธุรกิใหม่ คือ ธุรกิจการผลิตเครื่องชุบเคลือบผิว(HORIZONTAL PLATING MACHINES) เพื่อใช้ในแผงวงจรอิเล็คโทรนิคสำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้าทั่วไป คือ ลูกค้ายังคงไม่มีการลงทุนหรือขยายงานออกไป ยังรอดูภาวะแวดล้อมและการตลาดว่าจะเติบโตเมื่อใด โดยขณะนี้ลูกค้ายังอยู่ในสภาพลดกำลังการผลิตอยู่จึงเป็นการยากที่จะเสนอการลงทุนใดเพิ่มเติมให้กับลูกค้า
และในขณะนี้บริษัทฯยังคงหาธุรกิจใหม่เพื่อการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนสูงและความเสี่ยงต่ำ ซึ่งมีความคืบหน้าอย่างไรจะแจ้งข้อมูลให้แก่นักลงทุนและผู้ที่สนใจทั่วไปทราบอีกครั้ง
งบการเงินของบริษัทและบริษัทย่อยประจำปี สิ้นสุดวันที่ 31 กรกฎาคม 2552 ปรากฏว่าผลการดำเนินงานของบริษัทรวมบริษัทย่อยสำหรับปี 2552 มีผลขาดทุนสุทธิ 75.02 ล้านบาท แต่ในรอบระยะเวลาเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ เท่ากับ 38.57 ล้านบาท บริษัทฯขอชี้แจงสาเหตุดังนี้ คือ รายได้รวมของบริษัท ลดลง 135.07 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 42.70 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องมาจากยอดขายสุทธิลดลง 67.04 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 36.12 และรายได้อื่น ๆ ลดลง 68.02 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 52.06 เนื่องมาจากในไตรมาศที่ 2/2552 ได้ขายบริษัทย่อยที่อยู่ต่างประเทศไป ทำให้ยอดขายในบริษัทย่อย ลดลงจากในไตรมาศ 3 และ4 /2552
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าต้นทุนสินค้าที่ขายรวมของบริษัท ลดลง 92.02 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 46.25 เนื่องมาจากยอดขายที่ลดลงซึ่งเป็นผลจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ แต่บริษัทฯ มีค่าใช้จ่ายขายและบริหาร และค่าใช้จ่ายอื่นรวมเพิ่มขึ้น 70.52 ล้าน คิดเป็นร้อยละ 89.59 สาเหตุหลักๆมาจากค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร ลดลง 11.58 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 15.94 เนื่องจากการตั้งสำรองต่างๆที่เกี่ยวกับสินค้า,สินทรัพย์ถาวร,และลูกหนี้การค้าเพิ่มขึ้น และรวมถึงค่าซ่อมแซมบำรุงรักษาอาคารโรงงานเพิ่มขึ้น
ประกอบกับผลขาดทุนจากการขายเงินลงทุนในบริษัทย่อย เท่ากับ 51.11 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 100 เนื่องจากบริษัทย่อย อยู่ในภาวะที่ขาดทุนต่อเนื่องซึ่งการยอมขาดทุนจากการขายนี้จะส่งผลให้ภาพรวมของกิจการดีขึ้นในอนาคต
นอกจากนี้ ผลขาดทุนจากการขายเงินลงทุนชั่วคราว เท่ากับ 9.60 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 100 เนื่องจากราคาหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ตกต่ำถดถอยเนื่องจากสภาวะทางเศรษฐกิจและการเมือง ที่ถดถอย การยอมขายหลักทรัพย์ในราคาที่ต่ำกว่าทุนจะช่วยลดภาระดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นได้
รวมทั้ง ผลขาดทุนจากการขายสินทรัพย์ถาวร เพิ่มขึ้น 27.43 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 100 เนื่องมาจากการจำหน่ายสินทรัพย์ถาวรที่เป็นเครื่องจักรที่ถูกออกแบบให้ใช้งานเฉพาะแบบ และเครื่องจักรเหล่านี้ได้มีการหยุดคิดค่าเสื่อมเนื่องจากเป็นเครื่องจักรที่ไม่ได้ใช้งานแล้วทำให้มีมูลค่าคงเหลือตามบัญชีสูงกว่ามูลค่าที่แท้จริงในตลาด และผลขาดทุนจากการเปลี่ยนแปลงมูลค่าของเงินลงทุนในหลักทรัพย์เพื่อการค้า ลดลง 6.03 ล้านบาท คิดเป็น ร้อยละ 100 เนื่องจากการลงทุนในหลักทรัพย์เพื่อการค้าเริ่มมีแนวโน้มที่ดีขึ้นกว่าปีก่อน