MFC มอง ดบ.ต่ำช่วยไทยรอดวิกฤต เงินทุนนอกดันหุ้นไทยพุ่งแต่ปลายปีอาจแผ่ว

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday September 23, 2009 15:56 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายณรงค์ชัย อัครเศรณี ประธานกรรมการ บลจ.เอ็มเอฟซี (MFC) กล่าวว่า ประเทศไทยถือว่าโชคดีที่มีอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำช่วยให้เศรษฐกิจเราอยู่รอดและภาวะดังกล่าวคงจะต่อเนื่องไปยังปีหน้าเพราะสภาพคล่องยังล้นอยู่ แต่หากดอกเบี้ยสูงจะทำให้เกิดวิกฤต และเศรษฐกิจล่มสลายแน่นอน

"ไทยไม่ได้มีส่วนช่วยในการกลับมาฟื้นตัวของเศรษฐกิจให้กลับสู่สถานการณ์ปกติได้เลย แม้งบประมาณที่รัฐออกมาอย่างไทยเข้มแข็งจะช่วยได้ แต่กว่าเม็ดเงินจะออกคงจะใช้เวลานาน ตอนนี้สิ่งที่ช่วย คือดอกเบี้ยที่ต่ำ" นายณรงค์ชัย กล่าว

แม้ว่าขณะนี้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกถือว่ามีแนวโน้มการฟื้นตัวในระดับหนึ่งแล้ว แต่ยังไม่ถึงจุดเต็มที่เหมือน crisis ที่ผ่านมา เนื่องจากยังมีตัวบ่งชี้ที่ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องค่าเงินดอลลาร์ที่ยังมีแนวโน้มอ่อนตัวอย่างต่อเนื่อง ระดับราคาอสังหาริมทรัพย์ และตลาดหุ้นในประเทศที่พัฒนาแล้วก็ยังไม่กลับไปสู่จุดเดิม

"การที่ค่าเงินดอลล์ปรับตัวลดลง ถือเป็นตัวขับเคลื่อนในการย้ายเข้ามาลงทุนในตลาดแถบเอเชีย และมีผลต่อประเทศไทยด้วย โดยมองว่าดอลล์จะอ่อนต่อไปเรื่อยๆ ดังนั้นการที่ ธปท.ดูแลอยู่ คือ ทำให้อัตราแลกเปลี่ยนไม่เปลี่ยนแปลงแรงเกินไปถือเป็นสิ่งที่ดี" นายณรงค์ชัย กล่าว

แต่ทั้งนี้การที่เศรษฐกิจโลกไม่ได้ปรับตัวลงแรงเกิดจากการที่สหรัฐฯ มีการใช้มาตรการกระตุ้นภาคการเงินและการคลัง แต่อย่างไรก็ตามยังมีความเป็นห่วงในเรื่องของปัญหาหนี้เสีย เพราะหากไม่สามารถชำระได้ สถาบันการเงินของสหรัฐอาจจะเสียหายได้อีก

ขณะที่ภาคเศรษฐกิจที่แท้จริงจะกลับมาฟื้นได้ชัดเจนหรือไม่ และเมื่อไหร่ และจะสอดคล้องภาคการเงินหรือไม่ ตรงนี้ก็ถือเป็นปัจจัยที่จะต้องติดตามดู

ด้านนายพิชิต อัคราทิตย์ กรรมการผู้จัดการ MFC กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยในช่วงสั้นยังมีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะปัจจัยจากเงินทุนที่ไหลเข้ามาของต่างชาติ ประกอบกับความสามารถในการรับความเสี่ยงของนักลงทุนต่างประเทศที่มีมากขึ้น ซึ่งจะเห็นได้ว่าปัจจุบันเม็ดเงินต่างชาติกลับเข้ามาแล้ว 4 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็น 20% เมื่อเทียบกับเม็ดเงินที่ไหลออก ช่วงประมาณเดือน ส.ค.ราว 2 แสนล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของ MFC ประเมินดัชนีตลาดปี 53 จะอยู่ที่ 750-780 จุด แต่ถ้าเลวร้ายน่าจะอยู่ที่ 680 จุด และดีสุดอาจจะได้เห็น 820 จุด

นายพิชิต กล่าวต่อว่า จากวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นยอมรับว่าส่งผลกระทบต่อมูลค่าสินทรัพย์ของกองทุนรวมที่ปรับลดลงค่อนข้างมาก แต่ขณะนี้มูลค่าสินทรัพกลับเข้าสู่ภาวะปกติมาอยู่ที่ 1.75 ล้านล้านบาท จากช่วงวิกฤตมูลค่าอยู่ที่ 1.63 ล้านล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นการฟื้นตัวที่ค่อนข้างดีเมื่อเทียบกับการฝากเงิน และหลังจากนี้มองว่าบทบาทของกองทุนรวมจะมีมากขึ้น โดยคาดว่าจะมีสัดส่วนการออมที่มาจากกองทุนรวมเพิ่มเป็น 30% จากเดิม 20%

และจากปัจจัยดังกล่าวทำให้คาดว่าสินทรัพย์สุทธิของกองทุนรวมในปีหน้าจะอยู่ที่ 1.82 ล้านล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 3.73% จาก 1.75 ล้านล้านบาท

"ผมมองว่าตอนนี้เศรษฐกิจได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว รอเพียงแค่ว่าการฟื้นจะเห็นได้เมื่อไหร่ และฟื้นได้จริงหรือไม่ ส่วนตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวขึ้นมานั้นต้องยอมรับว่าเกิดจากต่างชาติ ดังนั้นหากใครลงทุนในระยะสั้นถึงปานกลาง ลงทุนได้ แต่ควรระมัดระวัง" นายพิชิต กล่าว

ช่วงที่ผ่านมา ยอมรับว่ารัฐบาลดูแลเสถียรภาพเศรษฐกิจได้ดี แต่อยากที่จะให้รัฐบาลเปิดกว้างให้กับกองทุนรวมด้วยการสนับสนุนการเปิดเสรีด้านผลิตภัณฑ์ Innovation มากขึ้น และควรดูแลเรื่องความเป็นธรรมในการแข่งขันของกองทุนรวมด้วย โดยเฉพาะควรให้กองทุนรวมสามารถเข้าไปทำธุรกิจอื่นได้นอกเหนือจากธุรกิจกองทุนรวม เพราะในระยะยาวกองทุนรวมจะมีบทบาทต่อตลาดทุน

ขณะที่นายศุภกร สุนทรกิจ รองกรรมการผู้จัดการ MFC กล่าวถึง สาเหตุที่ตลาดหุ้นปรับเพิ่มขึ้นตอนนี้ มาจากมาตรการกระตุ้นของภาครัฐ อาทิ แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง และคงจะสะท้อนไปถึงปีหน้าได้ และให้ติดตามดูมาตรการภาครัฐที่จะออกมาอีกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ประกอบกับมี Fund flow ไหลเข้ามาอยู่ แต่อย่างไรก็ตามพอปลายปี Fund flow อาจจะหยุดไหลเข้าทำให้มองว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยอาจไม่ถึง 800 จุด แต่ก็คงอยู่ประมาณ 680 -700 จุด


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ