IRPC คาดปี 52 รายได้รวมลดลงมาที่ 1.7-1.8 แสนลบ.จาก 2.4 แสนลบ.ปีก่อน

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday September 23, 2009 16:09 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. ไออาร์พีซี (IRPC) คาดว่า รายได้รวมของบริษัทในปีนี้จะอยู่ที่ 1.7-1.8 แสนล้านบาท ต่ำกว่าปีก่อนที่อยู่ในระดับ 2.4 แสนล้านบาท เนื่องจากราคาน้ำมันเฉลี่ยในปีที่แล้วสูงเกือบ 100 เหรียญสรอ./บาร์เรล และเคยขึ้นไปสูงสุดถึง 140 เหรียญสรอ./บาร์เรล ขณะที่เป้าหมายรายได้รวมปีนี้ ประเมินบนพื้นฐานราคาน้ำมัน 60-70 เหรียญสรอ./บาร์เรล ซึ่งราคาแตกต่างกันในระดับสูง

ทั้งนี้ บริษัทมีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจโรงกลั่น 70% และธุรกิจปิโตรเคมี 30% ซึ่งปีนี้คาดว่าธุรกิจปิโตรเคมีจะมีรายได้ประมาณ 5.4 หมื่นล้านบาท จากราคาผลิตภัณฑ์เม็ดพลาสติกยังคงอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีราคาเฉลี่ยประมาณ 1 พันเหรียญ/ตัน โดยราคาเฉลี่ยตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันอยู่ที่ 1,200 เหรียญ/ตัน ถือว่าเป็นระดับที่สูงมาก และไตรมาส 3/52 รายได้และกำไรของบริษัทจะดีกว่าไตรมาส 2/52 เนื่องจากราคาเม็ดพลาสติกดี และส่วนต่างราคาวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์อยู่ในระดับที่สูง

นอกจากนั้น ล่าสุดบริษัทยังได้ร่วมกับทางธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ในการพัฒนาระบบ IRPC ideal SOLUTION ในส่วนของระบบ Pro-Export System ซึ่งจัดการเอกสารในธุรกิจส่งออกเม็ดพลาสติกให้เป็นแบบออนไลน์ ช่วยลดเวลา ลดแรงงานคน และความผิดพลาดจากการเตรียมเอกสารได้ ซึ่งเชื่อว่าจะลดค่าใช้จ่ายกว่า 30 ล้านบาท/ปี ส่งผลดีในแง่ลดต้นทุนด้วย

ส่วนแนวโน้มราคาเม็ดพลาสติกในปีหน้า แม้ว่าจะมีกำลังการผลิตใหม่เข้ามา แต่ตลาดใหญ่อย่างจีนก็น่าจะยังมีความต้องการเม็ดพลาสติกอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากปีหน้าจีนจะเป็นเจ้าภาพจัดงานเซี่ยงไฮ้ เอ็กซ์โป และมีเอเชี่ยนเกมส์ที่กวางเจา รวมทั้งเป็นปีท่องเที่ยวของจีน ทำให้เชื่อว่าจะมีการนำเข้าเม็ดพลาสติกจำนวนมาก

อย่างไรก็ตาม บริษัทต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพราะหากเศรษฐกิจไม่ฟื้นตัวอย่างแท้จริง จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อธุรกิจของบริษัทเหมือนที่เคยเกิดขึ้นในช่วงไตรมาส 3 และ 4 ปีก่อนเกิดวิกฤต

สำหรับการลงทุนในยูโร 4 นายไพรินทร์ กล่าวว่า ขณะนี้เป็นที่แน่อนแล้วว่าจะร่วมลงทุนกับบริษัทในกลุ่ม ปตท.ทั้ง บมจ.ปตท.อะโรเมติกส์และการกลั่น(PTTAR) และ บมจ.ไทยออยล์ (TOP) เนื่องจากความต้องการใช้มน้ำมันมาตรฐานยูโร 4 ในต่างประเทศไม่มี ดังนั้น หากแยกกันผลิตจะทำให้มีปริมาณมากเกินไป ซึ่งรูปแบบความร่วมมือเบื้องต้นคาดว่าจะร่วมลงทุน หรือ ใช้ผลิตภัณฑ์ร่วมกัน

นายไพรินทร์ กล่าวถึงประเด็นการควบรวมกิจการของธุรกิจโรงกลั่นว่า ขณะนี้ยังไม่มีความคืบหน้า คงต้องไปถามทางบริษัทแม่ บมจ.ปตท. (PTT) และ IRPC เองไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะเลือก แต่มองว่าการที่ราคาหุ้นปรับเพิ่มขึ้นน่าจะมีส่วนเกี่ยวเนื่องกับการควบรวม เนื่องจากจะทำให้บริษัทมีความแข็งแกร่งเพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เป็นไปตามปัจจัยพื้นฐานของตลาดที่มีการปรับเพิ่มขึ้น


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ