นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการ บมจ. แสนสิริ (SIRI) กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"ถึงการขายหุ้นเพิ่มทุนให้นักกลงทุนเฉพาะเจาะจง(PP)จำนวน 1.47 พันล้านหุ้นว่า บริษัทจะเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนดังกล่าวให้กับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ เบื้องต้นคาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จภายในปีนี้ หลังจากขออนุมัติผู้ถือหุ้นในวันที่ 6 พ.ย.นี้
อนึ่ง เช้านี้ SIRI แจ้งว่าที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทอนุมัติให้นำหุ้นสามัญที่ออกใหม่จำนวน 1,473,000,000 หุ้นจัดสรรให้แก่บุคคลในวงจำกัด (Private Placement) ในราคาไม่ต่ำกว่าหุ้นละ 4.28 บาท ซึ่งจะทำให้ทุนจดทะเบียนเพิ่มขึ้นเท่าตัวจากเดิม 6,307 ล้านบาท เป็น 12,612 ล้านบาท พร้อมออก Warrant ให้ผู้ถือหุ้นเดิม ในอัตรา 2 ต่อ 1 ซึ่งจะส่งผลให้ทุนจดทะเบียนเพิ่มขึ้นรวมเป็น 15,766 ล้านบาท
นายเศรษฐา คาดว่า จะได้เม็ดเงินจากการขายหุ้นเพิ่มทุน PP ขั้นต่ำประมาณ 6 พันกว่าล้านบาท โดยเม็ดเงินที่ได้จะนำไปใช้ในการรองรับการขยายตลาดต่อเนื่องทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อให้มีสินค้าครอบคลุม segment มากขึ้น
"ตอนนี้ถือว่าเป็นตลาดของผู้ประกอบการรายใหญ่ การที่เรามีเงินจะเป็นการรองรับการขยายตัวได้อย่างเร็ว ซึ่งที่ผ่านมาเราก็ได้มีการลงทุนทั้งในแง่การขยายแบรนด์มากขึ้น เงินตรงนี้ก็จะมาเก็บเกี่ยวเพิ่มขึ้นจากที่เราทำไป" นายเศรษฐา กล่าว
นายเศรษฐา กล่าวว่า การเพิ่มทุนจดทะเบียนในครั้งนี้จะทำให้บริษัทมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งขึ้นเป็นอย่างมาก และจะเป็นพื้นฐานที่สำคัญมากอีกส่วนหนึ่งที่จะช่วยเพิ่มโอกาสให้กับบริษัทในการขยายธุรกิจให้ครบวงจรและครอบคลุมทุกเซ็กเมนท์ ทั้งในส่วนตลาดในประเทศและต่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีวินัยมากขึ้น
แผนการดำเนินธุรกิจของกลุ่ม SIRI ช่วงต่อไป มีกลยุทธ์หลักที่จะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้การดำเนินธุรกิจมีความแข็งแกร่งและประสบความสำเร็จ ได้แก่ การสานต่อการสร้างแบรนด์สินค้าให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ทั้งโครงการบ้านจัดสรรภายใต้แบรนด์เศรษฐสิริสำหรับโครงการบ้านระดับราคา 6 ล้านบาทขึ้นไป แบรนด์บุราสิริสำหรับโครงการบ้านระดับราคา 5 ล้านบาทขึ้นไป และแบรนด์สราญสิริสำหรับโครงการบ้านระดับราคาเริ่มต้นประมาณ 3 ล้านบาท แอกจากนี้ยังมีโครงการคอนโดมิเนียมระดับพรีเมี่ยมที่จะเกิดขึ้นอีกหลายโครงการ
ประการที่สองคือการที่แสนสิริมียอดขายล่วงหน้า (Pre-Sale Backlog) โครงการที่อยู่อาศัยต่างๆ เป็นมูลค่ารวมเกือบ 18,000 ล้านบาท ที่จะทยอยรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่องใน 1-3 ปีข้างหน้า ซึ่งถือเป็นฐานรายได้สำคัญที่จะสร้างความแข็งแกร่งในการดำเนินธุรกิจในอนาคตที่มั่นคง
ประการที่สาม คือ แผนการรุกขยายงานในตลาดต่างประเทศ เพื่อรองรับทุกความต้องการของลูกค้า และ สุดท้ายคือ การมีฐานเงินทุนที่แข็งแกร่ง เพื่อรองรับการขยายธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่มีผลกระทบต่อแผนการลงทุนระยะยาว อันจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ลงทุนและสถาบันการเงินได้ดียิ่งขึ้น