นายเอกจักร บัวหภักดี ผู้จัดการฝ่ายวาณิชธนกิจ บล.พัฒนสิน (CNS) และในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินของบมจ.ยูบิลลี่ เอ็นเตอร์ไพรส์ เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า ลูกค้า IPO ตัวสุดท้ายของบริษัทฯในปีนี้(52)ที่จะเข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์ ก็น่าจะเป็น ยูบิลลี่ฯ ซึ่งขณะนี้สำนักงานก.ล.ต.ได้นับ 1 คำขอเสนอขายหุ้น IPO แล้ว ดังนั้นตอนนี้ก็ได้วางกำหนดการไว้ว่าจะออกโรดโชว์ในวันที่ 6-9 ต.ค.นี้ ในเขตกรุงเทพฯและต่างจังหวัด 3 แห่ง คือ เชียงใหม่, ขอนแก่น และสงขลา
"ทางสำนักงานก.ล.ต.ได้นับ 1 คำขอเสนอขายหุ้น IPO ของ ยูบิลลี่ฯ แล้ว ต่อไปก็จะออกโรดโชว์ ในสัปดาห์หน้าก็วันที่ 6-9 ตุลาคม ซึ่งตอนนี้ก็เริ่มที่จะเข้าพบนักลงทุนบ้างแล้ว และเท่าที่ดูก็มีลูกค้าของ ยูบิลลี่ฯ หลายรายที่แสดงความสนใจที่จะซื้อหุ้น ส่วนราคาที่จะเสนอขายก็คาดว่าจะกำหนดได้ในช่วงกลางเดือนตุลาคมนี้"นายเอกจักร กล่าว
ที่ปรึกษาทางการเงิน ยูบิลลี่ฯ กล่าวว่า ตอนนี้กำหนดคร่าว ๆ ไว้ว่าจะเสนอขายหุ้น IPO ของยูบิลลี่ฯ ในช่วงปลายเดือนตุลาคมนี้ และคาดว่าจะเข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์ฯได้อย่างช้าก็ในช่วงต้นเดือน พ.ย.52
"การกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO ก็คาดว่าจะพิจารณาจากผลประกอบการของ ยูบิลลี่ฯ ทั้ง 3 ไตรมาสของปีนี้ แม้ว่าในช่วง 2 ไตรมาสแรกของปีนี้ผลประกอบการจะไม่ดี ถือได้ว่าเป็นช่วงที่ไม่ดีที่สุดของปี อันเป็นผลจากประเด็นการเมือง แต่ ยูบิลลี่ฯก็ยังสามารถมีผลกำไรได้ ส่วนช่วงไตรมาส 3/52 ก็เริ่มกลับมาดีขึ้น ตอนนี้เริ่มกลับมาสู่ภาวะปกติแล้ว"ที่ปรึกษาทางการเงิน ยูบิลลี่ฯ กล่าว
ยูบิลลี่ฯ จะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไป(IPO )จำนวน 35 ล้านหุ้น และจะออกใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัทให้แก่พนักงานของบริษัท จำนวน 5 ล้านหน่วย โดยบริษัทฯจะดำเนินการนำหุ้นสามัญทั้งหมดของบริษัทเข้าเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ(MAI)
บมจ.ยูบิลลี่ เอ็นเตอร์ไพรส์ ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายเครื่องประดับเพชรและเพชรกะรัต ภายใต้เครื่องหมายการค้า"ยูบิลลี่" โดยนำเข้าวัตถุดิบเพชรคุณภาพสูงจากประเทศเบลเยี่ยม แล้วว่าจ้างโรงงานเครื่องประดับและช่างฝีมือในประเทศผลิตเป็นสินค้าสำเร็จรูปสำหรับจำหน่าย ปัจจุบันมีจำนวนเคาน์เตอร์จำหน่ายสินค้า 59 สาขา โดยสาขาของบริษัทจำนวน 45 สาขาและสาขาแฟรนไชส์ 14 สาขาใน 26 จังหวัด ทุกภูมิภาคทั่วประเทศ
น.ส.อัญรัตน์ พรประกฤต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการเงิน บมจ.ยูบิลลี่ เอ็นเตอร์ไพรส์ เปิดเผยว่า เงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้จะนำไปใช้ในการขยายสาขาของบริษัทฯ เป็นการเพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้า ใช้พัฒนาระบบคอมพิวเตอร์แบบเรียลไทม์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ใช้สำหรับซื้อวัตถุดิบเพื่อผลิตและเพิ่มสินค้าที่มีประวัติขายดีไว้รองรับการขายของทุกสาขาทั่วประเทศ และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน พร้อมชำระคืนเงินกู้ยืมระยะสั้น
สำหรับภาพรวมอุตสาหกรรมอัญมณีในประเทศปี 52 มีแนวโน้มที่ดีถึงแม้ภาพรวมเศรษฐกิจจะมีการชะลอตัว โดยประมาณการส่วนแบ่งทางการตลาดครึ่งปีแรกของบริษัทฯ อยู่ที่ 10% ของมูลค่าตลาดในกลุ่มที่จัดจำหน่ายผ่านช่องทางเคาน์เตอร์ หรือคิดเป็นประมาณ 2% ของมูลค่าตลาดค้าปลีกเครื่องประดับเพชรทั้งหมดในประเทศไทย ทำให้ยังมีโอกาสเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดได้อีก
นอกจากนี้ บริษัทฯยังมีจุดแข็งจากการขยายช่องทางการขายผ่านเครือข่ายพันธมิตรที่แข็งแกร่ง ในห้างสรรพสินค้าชั้นนำที่มีการขยายสาขาไปทั่วทุกจังหวัดในประเทศ ได้แก่ ห้างสรรพสินค้ากลุ่มเซ็นทรัลและโรบินสัน กลุ่มเดอะมอลล์ สยามพารากอน เอ็มโพเรี่ยม รวมถึงกลุ่มเทสโก้ โลตัส เป็นต้น ทำให้บริษัทฯ มีฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นและยังเป็นการป้องกันความเสี่ยงจากการพึ่งพิงลูกค้ากลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง โดยปัจจุบันบริษัทฯมีฐานสมาชิกกว่า 80,000 ราย
ในส่วนของแผนงานในอนาคต บริษัทฯ จะเพิ่มสาขาจากเดิมที่มีอยู่ 68 สาขา เป็น 70 สาขาภายในสิ้นปี 52 ขณะเดียวกันจะมีการเพิ่มสายของผลิตภัณฑ์โดยเน้นลักษณะที่มีความแตกต่างและมีคุณภาพสูง เช่น ใช้เพชรที่มีรูปทรงพิเศษ(Fancy Cut) หรือสีพิเศษ (Fancy Color) เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดและตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง รวมถึงขยายช่องทางการจำหน่ายสินค้าใหม่ๆ ทั้งในและต่างประเทศ