บมจ. ไลฟ์ อินคอร์ปอเรชั่น (LIVE) คาดสามารถสรุปขายหุ้นเพิ่มทุนให้นักลงทุนแบบเฉพาะเจาะจง (PP) ที่เหลืออีก 2.7 พันล้านหุ้นได้ราวต้นเดือน ธ.ค.นี้ บริษัทมีแผนจะนำเงินมาใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนและการลงทุนในการดำเนินธุรกิจในอนาคต ซึ่งบริษัทมีเป้าหมายจะเพิ่มการผลิตรายการโทรทัศน์อีกเท่าตัวเป็น 15 ช่อง จาก 7 ช่องในเดือน ต.ค.นี้ โดยเบื้องต้นก่อนสิ้นปีจะมีรายการเพิ่มเป็น 9 ช่อง
"การเสนอขาย PP ที่เหลืออีกจำนวน 2.7 พันล้านหุ้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจา แต่เชื่อว่าจะสามารถสรุปการขาย PP ได้ภายในเดือน ธ.ค.นี้ ซึ่งเป็นไปตามกำหนด 1 ปีที่เคยขออนุมัติจากผู้ถือหุ้นไว้ ซึ่ง PP ที่ว่า เป็นไปได้ทั้งกลุ่มเดิมและกลุ่มใหม่"นายวิชัย กล่าว
สำหรับผู้ที่เข้ามาซื้อหุ้นเพิ่มทุน PP ในครั้งนี้จะต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขของบริษัทคือจะไม่เข้ามามีส่วนในการบริหารงาน แต่ราคาที่จะเสนอขายยังไม่สามารถประเมินได้ในขณะนี้ คงขึ้นอยู่กับภาวะตลาดหุ้นในช่วงที่เสนอขายด้วย ดังนั้น จึงมีโอกาสที่ราคาอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงจากราคาปัจจุบัน
อนึ่ง ก่อนหน้านี้ LIVE ออกหุ้นเพิ่มทุน 5,100 ล้านหุ้น โดยให้จัดสรรหุ้นสามัญที่ชำระเป็นตัวเงิน 3,600 ล้านหุ้นและหุ้นสามัญที่ชำระค่าหุ้นด้วยทรัพย์สินอื่น 1,500 ล้านหุ้น ซึ่งในเดือนส.ค.ที่ผ่านมาบริษัทเสนอขายหุ้น PP ให้กับนายวิรัช เลิศทัศนวงศ์ จำนวน 500 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วนถือหุ้น 9.09% และนางพรสรรค์(พรประภา) กำลังเอก 400 ล้านหุ้น คิดเป็น 7.27% รวมเป็นหุ้นที่จัดสรรทั้งหมด 900 ล้านหุ้น หรือ 16.36% ซึ่งเสนอขายในราคาหุ้นละ 0.1151 บาท กำหนดชำระค่าหุ้นภายในวันที่ 8 ต.ค.52
"ตอนที่เราขอผู้ถือหุ้นในการเพิ่มทุนเราก็ได้บอกแผนงานใน 3-5 ปีข้างหน้าว่าจะทำอะไร แต่ตอนนี้ผมว่าคงต้องขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจด้วยเหมือนกัน เพราะอย่างครึ่งแรกของปีนี้ทุกคนระมัดระวังการลงทุนสูงมาก ซึ่งรวมถึงเรา ใครๆ ก็พยายามประคองรายได้ เพราะฉะนั้นเม็ดเงินที่ขอผู้ถือหุ้นจึงต้องใช้ด้วยความระมัดระวังและเป็นประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้น"นายวิชัย กล่าว
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้บริษัทกำลังขยายงานด้านการผลิตรายการโทรทัศน์ป้อนให้กับเคเบิลทีวี โดยในเดือน ต.ค.นี้จะมีการผลิตรายการ 7 ช่องรายการ และภายในสิ้นปีนี้จะเพิ่มเป็น 9 ช่องรายการ จากนั้นในปี 53 บริษัทมีแผนจะเพิ่มช่องรายการใหม่กว่าเท่าตัวจากขณะนี้ หรือเพิ่มเป็นประมาณ 15 ช่องรายการ
นายวิชัย กล่าวว่า สำหรับผลดำเนินงานปีนี้คาดว่าจะมีรายได้จากการดำเนินธุรกิจประมาณ 300 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 272 ล้านบาทในปี 51 เชื่อว่าในช่วงครึ่งปีหลังจะเติบโตต่อเนื่องจากครึ่งปีแรก และน่าจะเติบโตมากกว่า 2 ไตรมาสแรกที่ผ่านมา เนื่องจากธุรกิจผลิตรายการโทรทัศน์อัตราการเติบโตที่ดี
ปัจจุบัน บริษัทมีรายได้จากโฆษณาเพิ่มขึ้น โดยขณะนี้อัตราการโฆษณาเพิ่มเป็น 100% เมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีอัตรา 70-80% เนื่องจากหลังจากที่พระราชบัญญัติการประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ.2551 มีผลบังคับใช้แล้ว ทำให้สื่อเคเบิ้ลทีวีได้รับการยอมรับมากขึ้น เพราะเป็นทางเลือกใหม่ให้คนดู และบริษัทยังมีรายได้จากการผลิตรายการด้วย
นอกจากนั้น บริษัทยังมั่นใจว่าพอร์ตการลงทุนของบริษัทปีนี้ยังสามารถสร้างผลกำไรได้ แม้ว่ามูลค่าพอร์ตลงทุนในปีนี้เฉลี่ย 100 ล้านบาท ต่ำกว่าในปีก่อนที่มีมูลค่าพอร์ตลงทุนราว 150-200 ล้านบาท และเชื่อว่าผลตอบแทนที่ได้รับในปีนี้จะได้ไม่ต่ากว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคารแน่นอน อย่างไรก็ตาม บริษัทจะลงทุนอย่างระมัดระวัง