บล.ซีไอเอ็มบี ตั้งเป้าขยายฐานลูกค้าสถาบัน-มาร์เก็ตแชร์ เพิ่มขึ้น

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday September 29, 2009 10:36 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายเกษม พันธ์รัตนมาลา กรรมการ บล.ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) หรือ CIMB เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า ขณะนี้ บล.CIMG-GK ได้ทำการควบรวมกิจการกับบล.บีที เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และได้เปลี่ยนมาใช้ชื่อ บล.ซีไอเอ็มบี(ประเทศไทย) ซึ่งภายหลังจากที่ได้มีการควบรวมกิจการแล้ว ก็จะทำให้บริษัทฯมีความเกี่ยวข้องกับธุรกิจรายย่อยมากขึ้น จากเดิมที่มีแต่ลูกค้ารายสถาบันเท่านั้น โดยปัจจุบันบริษัทฯมีสัดส่วนลูกค้ารายย่อย 70% และลูกค้ารายสถาบัน 30% ซึ่งบริษัทฯมีแผนที่จะขยายฐานลูกค้าสถาบันให้เพิ่มขึ้นด้วย

"ส่วนแบ่งการตลาดธุรกิจหลักทรัพย์(มาร์เก็ตแชร์)ในปัจจุบันมีอยู่กว่า 1% ทางกลุ่ม CIMB มีนโยบายที่ Aggressive ตั้งเป้าหมายมาร์เก็ตแชร์ไว้สูงมาก แต่เท่าไรยังบอกไม่ได้ ดังนั้นเพื่อให้ได้ตามเป้าหมายก็คงจะต้องหาฐานลูกค้ารายสถาบันให้มากขึ้นด้วย"นายเกษม กล่าว

กรรมการ CIMB กล่าวว่า นอกจากนี้บริษัทฯยังมีแผนที่จะทำ POP trade ด้วย ตอนนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาอยู่ ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทฯก็ไม่ได้มีพอร์ตลงทุนอะไร ดังนั้นการทำ POP trade จึงเป็นสิ่งที่บริษัทฯคิดว่าน่าจะทำ ซึ่งเป็นแค่การซื้อขายระยะสั้น ๆ เท่านั้น และหากทำจริงก็คงจะต้องมีการตั้งทีมในการทำด้วย

สำหรับงานในส่วนวิจัยก็จะมีการเพิ่ม product ให้หลากหลายมากขึ้น เพื่อที่จะได้สามารถให้บริการลูกค้าได้อย่างทั่วถึง ทั้งลูกค้ารายย่อย และลูกค้ารายสถาบัน

นายเกษม ยังกล่าวในฐานะที่เป็นหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ ของ CIMB ด้วยว่า ทางบริษัทฯได้มองเป้าดัชนี SET ของปีหน้า(2553)ไว้ที่ 790 จุด คิดเป็นค่า P/E 12 เท่า และคาดการณ์ว่าผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนน่าจะเติบโตในปีหน้าประมาณ 20%

ส่วนปีนี้(2552)ได้มองเป้าดัชนี SET ไว้ที่ 740 จุด คิดเป็นค่า P/E 12 เท่า ส่วนผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนในปีนี้คาดการณ์ไว้ว่าไม่น่าจะมีการเติบโต เนื่องจากปีนี้ราคาน้ำมันดิบได้ปรับตัวลงมากเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว(2551)ที่ราคาน้ำมันดิบสูงกว่า 140 เหรียญฯ/บาร์เรล ส่วนปีนี้(2552)คาดการณ์ราคาน้ำมันดิบไว้แค่ 65 เหรียญฯ/บาร์เรล และปัจจุบันก็แกว่งอยู่แถว 66 เหรียญฯ/บาร์เรล

ในช่วงครึ่งหลังปีนี้(2552)ไปจนถึงปีหน้า(2553)คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจน่าจะปรับตัวดีขึ้น และ Fund Flow ยังน่าจะไหลเข้าตลาดทุนมากขึ้น ดังนั้นจึงมองหุ้นที่น่าลงทุนเป็นหุ้นในกลุ่มแบงก์ และหุ้นปูนใหญ่ ซึ่งเหมาะที่จะทำการลงทุนระยะยาว ส่วนหุ้นที่เหมาะจะลงทุนในลักษณะ"เทรดดิ้ง"ช่วงสั้น ๆ นี้ เป็นหุ้นในกลุ่มอสังหาฯ บางตัว อย่างหุ้น CK, SPALI และหุ้นในกลุ่มเดินเรือ เป็นต้น


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ