DCC คาดปี 53 กำไร-ปันผลสูงต่อเนื่อง รับกำลังผลิตเพิ่ม-ขยาย outlet ใหม่

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday September 29, 2009 12:52 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายชนะ สุทธิหวังเจริญ กรรมการ บมจ.ไดนาสตี้เซรามิค(DCC)เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า ในปี 53 บริษัทจะมีกำลังการผลิตเพิ่มเข้ามาอีก 5 แสน ตร.ม./เดือน ซึ่งจะเริ่มทยอยเข้ามาตั้งแต่ช่วงปลายปีนี้จนถึงกลางปี 53 โดยหลังมีกำลังการผลิตใหม่น่าจะทำให้ยอดขายและอัตรากำไรขั้นต้น(gross margin)ดีขึ้น ส่งผลให้แนวโน้มกำไรในปีหน้าอาจเติบโตได้อีก 15% ตามที่โบรกเกอร์คาดการณ์ไว้ ซึ่งเป็นการเติบโตต่อเนื่องจากปีนี้ที่น่าจะมีกำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์ราว 1,000 ล้านบาท

"กำไรปีนี้น่าสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ เพราะฉะนั้นปีนี้ผู้ถือหุ้นก็จะได้เงินปันผลที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์เช่นกัน" นายชนะ กล่าว

ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าในปีนี้จะสามารถจ่ายเงินปันผลให้สูงสุดตามแนวโน้มของกำไรเช่นกัน โดยในช่วงครึ่งปีแรกจ่ายปันผลไปแล้ว 1.03 บาท/หุ้น จากปีที่แล้วทั้งปีที่จ่ายในอัตรา 1.25 บาท/หุ้น และเชื่อว่าจะสามารถจ่ายได้สูงกว่าที่โบรกเกอร์คาดไว้ที่ 1.60-1.70 บาท รวมทั้งมองว่าปีหน้าการจ่ายปันผลก็น่าจะสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตามแนวโน้มผลประกอบการของบริษัท

"แต่ใจผมจริงๆ คิดว่ามากกว่าที่โบรกฯคาด เพราะโบรกฯจะ conservative และแนวโน้มปีหน้าจะได้เงินปันผลมากกว่าปีนี้แน่ๆ"นายชนะ กล่าว

นอกจากนี้ บริษัทมีแผนจะเปิด Outlet เพิ่มอีก 3 แห่งภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งจะทำให้ในสิ้นปีนี้มีจำนวน Outlet ทั้งสิ้น 200 แห่ง เนื่องจากยอดขายในตลาดต่างจังหวัดยังไปได้ดีมาก

*กำลังผลิตเพิ่มผลักดันกำไรเติบโตต่อเนื่อง-ปันผลสูงตาม

นายชนะ กล่าวว่า ตั้งแต่กลางปี 53 บริษัทจะมีกำลังการผลิตเพิ่มอีก 6 ล้าน ตร.ม./ปี จากปัจจุบันที่มี 48 ล้าน ตร.ม./ปี ซึ่งจะส่งผลให้ gross margin เพิ่มขึ้น เนื่องจากต้นทุนต่อหน่วยลดลงและสร้างยอดขายได้เพิ่มขึ้น โดยบริษัทจะเริ่มทยอยเพิ่มกำลังการผลิตตั้งแต่ปลายปีนี้ไปจนถึงกลางปี 53 เบื้องต้นคาดว่าจะทำให้ gross margin ในปีนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 42% สูงขึ้นจากปี 51 ที่อยู่ในระดับ 38-39% และมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นอีกในปีหน้า

ทั้งนี้ จากบทวิเคราะห์ของโบรกเกอร์ที่ประเมินว่ากำไรของ DCC ในปี 53 น่าจะเพิ่มขึ้นอีก 15% จากปี 52 บริษัทมองว่ามีความเป็นไปได้ หรืออาจจะเติบโตได้มากกว่านั้นก็ได้ เพราะส่วนใหญ่โบรกเกอร์ยังมองค่อนข้าง conservative แต่ก็คงต้องขึ้นกับปัจจัยสำคัญคือภาวะเศรษฐกิจและต้นทุนราคาน้ำมัน ซึ่งในปีนี้บริษัทได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงมาราว 20-30% จากปีก่อน และหากปีหน้าสถานการณ์ราคาน้ำมันยังทรงตัวก็จะส่งผลดีกับบริษัท

"ราคาน้ำมันที่เราเจอปีที่แล้วสูง ปีนี้ถูกกว่าปีที่แล้ว 20-30% ถ้าเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ปีนี้ถูกหน่อยก็จะได้ประโยชน์ตรงนี้ด้วย แต่ปีหน้าใครจะไปเก็งถูกว่าน้ำมันจะขึ้นจะลงก็ต้องแล้วแต่ภาวะเราควบคุมไม่ได้ ถ้าน้ำมันเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ปีหน้าก็จะกำไร แต่ถ้าปีหน้าน้ำมันขึ้น gross margin ก็อาจจะตกลงไป แต่เรามีผลผลิตเพิ่มขึ้นก็จะช่วยอยู่แล้ว"นายชนะ กล่าว

สำหรับผลประกอบการในปีนี้น่าจะเป็นไปตามที่คาดการณ์ว่าจะมีกำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังจาก 2 ไตรมาสแรกของปีมีอัตราการเติบโตของกำไรถึง 30% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และแนวโน้มครึ่งหลังปีนี้จะทำได้ขึ้นจากครึ่งปีแรก โดยเฉพาะเมื่อการใช้กำลังการผลิตเต็มที่ และการขยายกำลังผลิตเพิ่มขึ้นมาด้วย

"ปีนี้กำไรไม่แน่อาจจะถึง 1,000 ล้านบาท เพราะมีเวลาอยู่อีกทั้ง 4 เดือน ก.ย.-ธ.ค.เพราะปีที่แล้วกำไร 666 ล้านบาท และปี 50 กำไร 543 กว่าล้านบาท คาดว่าปีนี้จะมีกำไรสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์"นายชนะ กล่าว

ทั้งนี้ ครึ่งแรกปี 52 DCC มีกำไรสุทธิแล้ว 524 ล้านบาท

ในแง่ของรายได้ในปี 52 คาดว่าจะเติบโตขึ้นมาไม่น้อยกว่า 10% จากปีก่อนมียอดขายกว่า 5,000 ล้านบาท ถือว่าเป็นไปตามเป้าหมายเดิมเพราะไตรมาส 1/52 เพิ่มขึ้นมา 11-12% ไตรมาส 2/52 เพิ่มขึ้น 12% ทำให้คาดว่าไตรมาสที่เหลือก็น่าจะเติบโตได้ไม่แพ้กัน อีกทั้งแม้ว่าไตรมาส 3 เป็นช่วงฤดูฝนปกติจะเป็น low season แต่ในปีนี้ยังเติบโตได้สวนกระแส

นายชนะ กล่าวว่า เมื่อผลประกอบการของบริษัทในงวดปี 52 ออกมาดีมาก ก็น่าจะทำให้บริษัทสามารถจ่ายเงินปันผลได้มากด้วย มีความเป็นไปได้ว่าอาจจะจ่ายได้สูงกว่าที่โบรกเกอร์ประเมินไว้ที่ 1.60-1.70 บาท/หุ้น และปีหน้าก็น่าจะจ่ายปันผลได้เพิ่มขึ้นอีก โดยจะยังคงเป้าหมายจ่ายเงินปันผลทุกไตรมาส

*ลุยเปิด Outlet ในตจว.เพิ่มรับยอดขายไปได้สวย

นายชนะ กล่าวว่า บริษัทกำลังจะเปิด Outlet เพิ่มอีก 3 แห่งภายในสิ้นปีนี้ คือ ที่ อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา, อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ และที่ จ.ยโสธร อีก 1 แห่ง ก็จะทำให้มี Outlet ครบ 200 แห่ง จากปัจจุบันมี 197 แห่ง แต่ตอนนี้ยังไม่ได้ตั้งเป้าการเปิด Outlet ใหม่เพิ่มอีกในปี 53 โดยบริษัทมีทีมสำรวจพื้นที่ตั้ง outlet ตามอำเภอต่างๆ ที่มีศักยภาพ ซึ่งขณะนี้มีครบเกือบทุกอำเภอเมืองแล้ว ยกเว้น จ.แม่ฮ่องสอน

"ตลาดต่างจังหวัดปริมาณขายของเราไม่ตกเลย ขยายตัวตลอดเพราะต่างจังหวัดยังไงก็ยังมีการซื้อ ซ่อมแซม ต่อเติมอยู่ตลอดเวลา เมืองท่องเที่ยวก็ยังดีอยู่...ตอนนี้มี Outlet ทุกจังหวัดยกเว้นที่ จ.แม่ฮ่องสอน ที่ยังไม่มีเพราะการคมนาคมไปมาไม่สะดวก การขนส่งเส้นทางยังลำบาก แต่ในอนาคตคิดว่าเป็นไปได้เพราะเป็นเมืองที่น่าสนใจ"นายชนะ กล่าว

ปัจจุบัน DCC เป็นผู้นำในตลาดกระเบื้องปูพื้นและปูผนังในประเทศ โดยครองส่วนแบ่งการตลาด(มาร์เก็ตแชร์)ประมาณ 40% สูงขึ้นจากเดิมที่อยูในระดับกว่า 30% เนื่องจากคู่แข่งอ่อนแรงไปมาก เพราะภาพรวมตลาดไม่ได้ดีขึ้น แต่ยอดขายของ DCC กลับเพิ่มขึ้นมาได้ถึง 10% กว่า แสดงว่าเราไปแย่งมาร์เก็ตแชร์คู่แข่งมา และบริษัทยังไม่มีแผนที่จะปรับราคาขาย ปัจจุบันเฉลี่ยอยู่ที่ 100 บาทต้น ๆ/ตร.ม.

"ในฐานะที่เราเป็นผู้นำตลาด การจะปรับราคาขึ้นก็ต้องคิดหนัก เพราะสภาพตลาดไม่อำนวย ตลาดจริงๆ โดยภาพรวมไม่ได้โต ไม่ใช่ของขาดตลาด แม้เราจะผลิตเต็มที่ แต่โรงงานอื่นยังผลิตได้แค่ 70-80% ดีมานด์ยังน้อยกว่าซัพพลาย ทุกคนยังผลิตไม่เต็มที่ ยังต้องปิดเตากันอยู่ จะไปปรับราคาอะไร พอปรับเสร็จกำลังซื้อก็หายหมด ก็ต้องมานั่งปิดเตา"

นายชนะ กล่าวถึงจุดแข็งของ DCC ที่สำคัญคือ เป็นบริษัทที่ไม่มีหนี้ ฐานะการเงินแข็งแกร่ง จึงสามารถขายสินค้าได้ในราคาต่ำ หากคู่แข่งจะใช้กลยุทธ์ตัดราคาก็คงทำได้ยาก เพราะอาจจะขาดทุนได้ ในขณะนี้ที่บริษัทเน้นเพียงกลยุทธ์ในการผลิตสินค้าให้เต็มที่เพื่อทำให้ต้นทุนถูกและต้องสามารถขายได้ด้วย ไม่ใช่ผลิตเต็มที่แล้วขายไม่ออกก็ไม่ดีไม่มีประโยชน์


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ