นายนิมิตร หมดราคี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. 124 คอมมิวนิเคชั่นส์ (PR124) เปิดเผยว่า ได้ยืนยันเจตนาชัดเจนแต่แรกแล้วว่า ตนและกลุ่มไม่คิดจะขายหุ้นที่ถืออยู่ใน PR124 จำนวนทั้งสิ้น 14,647,500 หุ้น หรือคิดเป็น 32.55% ของทุนที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดและของสิทธิออกเสียงทั้งหมด
"เรื่องนี้คุณคุณากรเคยมาถามผมว่าจะขายมั้ย ผมก็ยืนยันชัดเจนตั้งแต่แรกแล้วว่ายังไงผมก็ไม่ขาย ครอบครัวผมก็ไม่ขาย มีแต่จะซื้อเพิ่มด้วยถ้าตลาดอนุญาต....คุณคุณากรก็ทราบมาตลอด ส่วนคุณคุณากรจะไปรวบรวมหุ้นได้เท่าไหร่ก็เป็นกำลังใจให้ ขอให้รวบรวมหุ้นได้เยอะๆ"นายนิมิตร กล่าว
พร้อมกับระบุว่า ไม่ได้มีความขัดแย้งใดๆเกิดขึ้นระหว่างกลุ่มของตนและทางกลุ่มของนายคุณากร
"ผม Happy ในงานที่ผมทำ และก็ Happy ที่มีเค้ามาเป็นพันธมิตร แล้วเราจะได้ต่อยอดธุรกิจกันอีกเยอะแยะ เป็นการจับมือกันแบบเพื่อนฝูง"นายนิมิตร กล่าว
นายนิมิตร กล่าวด้วยว่า เชื่อมั่นว่ากลุ่มนายคุณากรที่เข้าเป็นพันธมิตรธุรกิจใหม่จะช่วยให้หุ้น PR124 มีสภาพคล่องมากขึ้น เพราะทุกวันนี้หุ้นไม่มีสภาพคล่อง ไม่มีความเคลื่อนไหวเลย และก็ไม่แฟร์ต่อผู้ถือหุ้นด้วย ทำไปทำมามูลค่าน้อยลง ซึ่งมองว่าระยะยาวจะลำบาก
แต่พอมีผู้ถือหุ้นใหม่มา เริ่มมีชีวิตชีวา เมื่อก่อนหุ้นราคาบาทกว่าๆ ผู้ถือหุ้นมาตั้งราคาเทนเดอร์ ออฟเฟอร์ที่ 3.50 บาท แสดงว่าเค้าต้องเห็นอะไรในบริษัท
ทั้งนี้ หลังการเข้ามาซื้อหุ้นของกลุ่มนายคุณากร เศรษฐี จำนวน 17% ทางกลุ่มนายคุณากรก็ได้ส่งบุคคลเข้ามาเป็นคณะกรรมการแล้ว 2 ท่าน คือพลเอกวิชิต ยาทิพย์ เข้ามาเป็นกรรมการอิสระและประธานกรรมการตรวจสอบ และพลตรีรังสฤษดิ์ แจ้งเจนกิจ เป็นกรรมการอิสระและกรรมการตรวจสอบ และในเร็วๆ นี้จะส่งเข้ามาอีก 1 ท่านรวมเป็น 3 ท่าน แต่จะเป็นใครยังไม่ทราบเช่นกัน
นายนิมิตร กล่าวว่า ปัจจุบันกรรมการในฝ่ายของบริษัทมี ตน ในฐานะประธานเจ้าหน้าที่บริหาร นางโสภาวดี จันทร์ถาวร กรรมการผู้จัดการ นางมนิลา ลดาวัลย์ กรรมการ น.ส.กันยามาส มาลีถาวรกุล กรรมการ
อย่างไรก็ตาม PR124 กำหนดประชุมผู้ถือหุ้นวันที่ 2 ต.ค.นี้ เพื่ออนุมัติการเปลี่ยนแปลงมูลค่าที่ตราไว้ของหุ้นสามัญจากเดิม 1.00 บาทต่อหุ้น เป็น 0.10 บาทต่อหุ้นโดยทุนจดทะเบียนของบริษัทจะคงเดิม คือ 45.00 ล้านบาท โดยการแตกหุ้นสามัญของบริษัทจาก 45 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.00 บาท เป็น 450 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.10 บาท, พิจารณาอนุมัติให้บริษัทออกและเสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัทครั้งที่ 1 ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัท, พิจารณาอนุมัติเพิ่มทุนจดทะเบียนอีกจำนวน 22,500,000 บาท จากเดิม 45,000,000 บาท รวมเป็นทุนจดทะเบียนทั้งสิ้น 67,500,000 บาท เพื่อรองรับการใช้สิทธิของใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัทครั้งที่ 1
"ในวันนั้นจะมีการแนะนำกลุ่มผู้ถือหุ้นใหม่ และคงจะมีการพูดถึงเรื่องการทำคำเสนอซื้อกิจการของกลุ่มผู้ถือหุ้นด้วย ซึ่งคาดว่าผู้ถือหุ้นอื่นๆ คงจะเข้าใจ และเห็นด้วยกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับบริษัท และก็เป็นสิทธิของผู้ถือหุ้น แต่ผมเชื่อว่าทุกท่านคงเห็นด้วย และคงอยากให้เราทำแบบนี้มานานแล้ว เพราะว่าเป็นสิ่งที่ดีสำหรับทุกคน อย่าลืมนะผมใช้เวลาหาพันธมิตรมานานเป็นปีๆแล้วนะ แต่ส่วนผสมมันไม่ลงตัว"นายนิมิตร กล่าว
นายนิมิตร กล่าวว่า ตั้งแต่มิ.ย. 52 จนถึงตอนนี้ บริษัทได้เซ็นสัญญารับงานกับลูกค้าใหม่เกือบ 10 รายทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น กรมศิลปากร กระทรวงพาณิชย์, คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม (กทช.), บริษัท โกดัก, รถมินิคูเปอร์, สวนสนุก Zentoza ประเทศสิงคโปร์ และกำลังรอเซ็นสัญญาในปีนี้อีก 4-5 ราย
ดังนั้น ยังหวังว่าสิ้นปี 52 บริษัทจะได้เห็นผลประกอบการที่เป็นกำไร ส่วนปีหน้ามั่นใจว่าจะดีกว่าปีนี้แน่นอนทั้งรายได้และกำไร
"เราเห็นสัญญาณต่างๆ ว่าจะดีขึ้น การเมืองเศรษฐกิจไม่น่าตกใจ งานใหม่ทยอยเข้ามา"นายนิมิตร กล่าว