SLC คาดรายได้ H2/52 ดีกว่า H1, หวังผถห.ใหม่เสริมการตลาด-ช่องทางขาย

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday October 1, 2009 12:53 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายนิทัศน์ มณีศิลาสันต์ ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ บมจ. โซลูชั่น คอนเนอร์ (1998) หรือ SLC เปิดเผยกับ"อินโฟเควทส์"ว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลังเชื่อว่าจะดีกว่าในครึ่งปีแรกแน่นอน เนื่องจากครึ่งปีแรกเรามี Backlog แค่ 40 ล้านบาท รับรู้ไปหมดแล้ว แต่พอ ในเดือนมิ.ย.-ก.ย.52 เรามีงานเข้ามาแล้วประมาณ 80 ล้านบาท ซึ่งจะรับรู้ในปีนี้ทั้งหมด แล้วตอนนี้ก็ยังมีงานรอเซ็นสัญญาอีกประมาณ 30 ล้านบาท เพราะฉะนั้นมั่นใจว่าครึ่งปีหลังต้องดีกว่าครึ่งปีแรกแน่นอน

นายนิทัศน์ กล่าวว่า ที่ผ่านมามีกระแสข่าวบริษัทจะถูกเทคโอเวอร์ แต่ผมอยากใช้คำว่าเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นมากกว่า เป็นการติดต่อผ่านมาที่ปรึกษาการเงินของผมคือ บริษัทหลักทรัพย์โกลเบล็ก ใช้เวลาในการเจาจาอยู่ระยะหนึ่ง แต่เผอิญการเจรจาค่อนข้างง่ายและชัดเจน เพราะเป็นการเข้ามาซื้อและทำธุรกิจเดิม ไม่มีเจตนาจะมาเปลี่ยนแปลงธุรกิจของ SLC

"การเจรจากันไม่มีเรื่องจะมาเปลี่ยนธุรกิจ เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นเค้าไปซื้อบริษัทอื่นก็ได้ แล้วก็ไปเปลี่ยนแปลงธุรกิจภายหลัง คือคุณดิเรกเข้ามาพร้อมกับพรีเซ็นต์ มีการพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องซอฟท์แวร์ซึ่งคุณดิเรกก็มีความเข้าใจเรื่องธุรกิจซอฟท์แวร์ สินค้าที่คุณดิเรกเคยทำหลายตัวเกี่ยวพันกับเรื่องซอฟท์แวร์เช่นระบบตรวจจับอากาศ"

*พิจารณาคุณสมบัติผู้ซื้อก่อนตัดสินใจขาย

นายนิทัศน์ กล่าวว่า ผมพิจารณาผู้ขายอย่างแรกคือเข้ามาแล้ว SLC จะได้อะไร ซึ่งเชื่อว่า คุณดิเรกจะมาช่วยในเรื่องการตลาด SLC ได้มากขึ้น เพราะคุณดิเรกทำธุรกิจมากว่า 30 ปี เครือข่ายการค้าขายกับหน่วยงานราชการ เอกชนย่อมมีเครือข่าย เพื่อนฝูง และ Connection อยู่ไม่มากก็น้อย ทำให้ผมเชื่อว่าเราน่าจะได้จุดแข็งเรื่องการตลาด ช่องทางจัดจำหน่ายมาเสริม

นายนิทัศน์ กล่าวว่า บิ๊กล๊อต 3 รายการ จำนวน 23,651,500 หุ้น มูลค่า 82,780,250 บาท ที่ราคาหุ้นละ 3.50 บาท เป็นของผม 2 รายการ จำนวน 16,151,500 หุ้น คิดเป็น 32.30% และอีก 1 รายการคือหุ้นในส่วนที่นางวันทนี มณีศิลาสันต์ ถืออยู่ แต่ขายออกมาบางส่วน 7,500,000 หุ้น จากจำนวนที่ถือทั้งหมด 16,500,000 หุ้น

"บิ๊กล๊อตเมื่อวานนี้ 3 รายการเป็นของผมกับคุณวันทนีครับ ของผม 2 รายการ ทั้งหมดที่ผมถืออยู่ ส่วนอีก 1 รายการจำนวน 7.5 ล้านหุ้นเป็นของคุณวันทนี ซึ่งตามข้อตกลงยังเหลือส่วนของคุณวันทนีอีก 9 ล้านหุ้นที่ยังไม่ได้ขาย"

อย่างไรก็ตาม ไม่แน่ใจว่ารายการบิ๊กล๊อตที่เหลือจะเกิดขึ้นอีกเมื่อไหร่ขึ้นอยู่กับคนซื้อ คือนายดิเรก วงศ์ชินศรี ในฐานะผู้ลงนามซื้อหุ้น ซึ่งได้แจ้งความประสงค์ว่าให้จำหน่ายหุ้นผู้ขายจำนวน 6,500,000 หุ้น โดยตรงไปยังนางสาวธนาพร ปิยะเวชวิรัตน์ และจำนวน 7,500,00 หุ้น โดยตรงไปยังนายพลสิทธิ ภูมิวสนะ เนื่องจากนายดิเรก วงศ์ชินศรี มีข้อตกลงขายหุ้นต่อให้กับบุคคลทั้งสองรายดังกล่าว สำหรับหุ้นจำนวน 18,651,500 หุ้นจะให้ นายธนพันธ์ วงศ์ชินศรี ซึ่งเป็นบุตรชายเป็นผู้รับโอนหุ้นแทน

"คุณดิเรกได้แจ้งความประสงค์ต่อตลาดหลักทรัพย์จะไม่ถือหุ้นเกิน 25% ซึ่งถ้าภายใน 7 วันคุณดิเรกไม่สามารถขายหุ้นจำนวนที่ซื้อออกไป ก็ต้องทำเทนเดอร์ ขณะที่ผมเองใครขอซื้อแค่ 20-30% ของ 16,151,500 หุ้น ผมก็ไม่ขายนะ คือถ้าจะซื้อก็ต้องซื้อไปทั้งหมด ส่วนเงินที่ได้จากการขายหุ้นครั้งนี้ ประมาณ 82 ล้านบาทคงจะนำไปใช้ส่วนตัว"นายนิทัศน์ กล่าว

*ไม่ซีเรียสราคาเทนเดอร์ต่ำกว่าราคาตลาด

นายนิทัศน์ กล่าวต่อว่า ไม่รู้สึกซีเรียสเรื่องราคาเสนอซื้อที่นายดิเรกเสนอที่ 3.50 บาท จะต่ำกว่าราคาตลาดที่ปัจจุบันราคาอยู่ที่ประมาณ 5 บาท แต่ก็เป็นสิ่งที่ผมพอใจเพราะมองว่าไม่ว่าจะเป็นผู้ถือหุ้นเดิม พนักงาน ทุกอย่างผมว่าได้ประโยชน์จากการเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นของคุณดิเรก

สำหรับการเปลี่ยนแปลงหลังจากนี้ นายนิทัศน์ กล่าวว่า ทางผู้ถือหุ้นใหม่ยังคงต้องการให้ผมบริหารงานต่อ หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับผมว่าอยากอยู่นานแค่ไหนก็ได้เท่าที่ผมอยากจะอยู่ ยังให้อำนาจและการตัดสินใจผมทั้งหมด แต่วันข้างหน้าอาจจะต้องฟังมุมมองที่แปลกใหม่หรือแนวทาง Business ทางต่างประเทศมาเกี่ยวก็อาจจะให้คนรุ่นใหม่เข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดบทบาทธุรกิจด้วย

"ผมอยู่กับ SLC มาตั้งแต่ก่อตั้งก็ 12 ปี ผมพยายามจะคิดถึงกรณีคุณตัน โออิชิ ที่เปลี่ยนจากผู้ถือหุ้นใหญ่มาเป็นผู้บริหารมืออาชีพก็อยู่ได้ ปัญหาที่สำคัญคือเราทำงานให้เค้าเพียงพอที่เค้าจะไว้ใจหรือเปล่า แต่ก็คงไม่ได้อยู่ตลอดชีวิต อาจจะอยู่ในช่วงเวลาหนึ่ง หรือถ้าผู้ถือหุ้นใหม่เข้ามาแล้วมีอะไรน่าจะสนใจผมก็อยากจะอยู่ต่อนะ"

*เตรียมรวบธุรกิจจาก 8 กลุ่มเหลือ 4 กลุ่ม

นายนิทัศน์ กล่าวว่า บริษัทเตรียมจะรวบกลุ่มผลิตภัณฑ์ของบริษัทให้เหลือ 4 กลุ่ม จาก 8 กลุ่มในปัจจุบัน เอาคนมา Share Resource กัน โดย 4 กลุ่มที่จะเหลือ คือ กลุ่มธุรกิจเฉพาะ (Front Office), กลุ่มบริหารทรัพยากรองค์กร (PMIS), กลุ่มระบบสำนักงานอัตโนมัติ (e-office 2000) และ กลุ่มโปรแกรมช่วยในการสร้างหนังสือและสื่ออิเล็กทรอนิกส์ e-book ส่วนอีก 4 กลุ่มเหลือจะถูกโอนเข้าไปอยู่ใน 4 กลุ่มแรกตามความเหมาะสม



เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ