บมจ.ไทยพลาสติกและเคมีภัณฑ์ (TPC) หวังรัฐช่วยแก้ไขปัญหากรณีศาลสั่งระงับ 76 โครงการในนิคมมาบตาพุด โดยศึกษาละเอียดแต่ละโครงการ หากยังแก้ไม่ได้ทำให้บริษัทเสียโอกาสทางธุรกิจ ขณะที่มองว่าปีหน้ารายได้จะเติบโตราว 10% จากปริมาณการผลิตและขายเพิ่มขึ้น 10% เป็น 8 แสนตัน จาก 7.3-7.4 แสนตัน โดยเป็นการเพิ่มกำลังการผลิตในเวียดนาม และราคาขายสูงกว่าปีนี้เฉลี่ยที่ 800 เหรียญ/ตัน จากปีนี้เฉลี่ยที่ 750 เหรียญ/ตัน จากราคาน้ำมันที่คาดว่ายังไต่ระดับสูง และภาวะเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว พร้อมเตรียมตัวลงทุนโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ในเวียดนาม ร่วมกับบมจ. ปูนซิเมนต์ไทย(SCC) ที่มีขนาดโครงการ 4 พันล้านเหรียญ โดยส่วนบริษัทลงทุนราว 7 พันล้านบาท
*จับมือ SCC หารือรัฐเร่งหาทางออกมาบตาพุด
นายคเณศ ขาวจันทร์ กรรมการผู้จัดการ TPC เปิดเผยว่า บริษัทต้องระงับการดำเนินการโครงการปรับปรุงกำลังการผลิต (Debottlenecking) ของบริษัท 2 โครงการ ทั้งที่ไม่ได้เป็นโครงการใหม่ และทั้งสองโครงการผ่าน EIA แล้วในต้นปี 51 ก็ตาม ดังนั้น บริษัทเตรียมจะหารือกับ บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) หรือเครือ SCG เข้าหารือกับหน่วยงานภาครัฐ เพื่อหาทางออก
"โครงการเราไม่ได้มีอะไรซ้ำซ้อน เป็นการขยายจากไลน์การผลิตเดิม แต่เนื่องจากเราเพิ่มกำลังการผลิต เราก็ต้องขอ EIA ทั้งๆที่ไม่ได้ใส่เครื่องจักร ...ทางข้างหน้าต่อไปเราก็คงต้องหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง น่าจะดูเป็นโครงการๆไป อย่ามาเหมาเลย คือของเราเล็กเราคงพ่วงกับทาง SCG " นายคเนศ กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"
อย่างไรก็ตาม บริษัทไม่ได้รับผลกระทบจากกรณีดังกล่าว เพราะปีนี้บริษัทไม่ได้ขยายกำลังการผลิตตามที่วางแผนไว้ จากตลาดซบเซา แต่หากปีหน้าตลาดเริ่มฟื้นตัว ก็อาจจะเป็นอุปสรรคในการขยายกำลังการผลิต
"ปีนี้ไม่ได้รับผลกระทบ แต่ปีหน้าถ้าเศรษฐกิจดีอาจจะเสียโอกาส ...ผมคิดว่า ของเราไม่น่าจะมีผลกระทบรุนแรง กับการเพิ่มขยายกำลังการผลิต เราไม่ได้ไม่เงินลงทุนเพิ่ม ผมคิดว่า หาข้อเท็จจริงในแง่ที่กระทบรุนแรงและมีผลเสียหาย มันเป็นยังไงกันแน่ ยังไม่มีการพิจสูจน์อะไรกันเลย"นายคเนศ กล่าว
ทั้งนี้ 2 โครงการของบริษัท ได้แก่ โครงการขยายกำลังการผลิต PVC เพิ่มเป็น 1.4 แสนตัน/ปี จากปัจจุบัน 1.2 แสนตัน/ปี และโครงการขยายกำลังการผลิต VCM เพิ่มเป็น 1.6 แสนตัน จากปัจจุบัน 1.4 แสนตัน โดยที่ผ่านมาได้ดำเนินโครงการแล้ว แต่เมื่อศาลสั่งระงับบริษัทก็ต้องลดการผลิตไปเท่าเดิม แต่ไม่ได้หยุดการผลิต
*รายได้ปีนี้ตก 20%% แต่ปีหน้าโต 10%
สำหรับผลประกอบการปีนี้ นายคเนศ คาดว่ารายได้จะลดลงประมาณ 20% จากปริมาณการขายที่ลดลง และ ราคาขาย PVC เฉลี่ยลดลงมาที่ 750 เหรียญ/ตัน จากปีก่อนที่มีราคาเฉลี่ย 1,000 เหรียญ/ตัน และกำไรต่ำกว่าปีก่อนแต่ลดลงน้อยกว่า 20%
อย่างไรก็ตาม ราคาในช่วงไตรมาส 3/52 ปรับตัวสูงขึ้นตามราคาน้ำมันในตลาดโลก โดยราคา PVC แตะระดับสูงสุดที่ 900 เหรียญ/ตัน และขณะนี้ราคาอยู่ที่กว่า 800 เหรียญ/ตัน "รายได้ลดลง 20% จากปีก่อน ปริมาณการขายลดลง เนื่องจากเราย้ายโรงงานจากรุงเทพ ไปอยู่เวียดนาม ซึ่งยังไม่ได้เริ่มการผลิต ทำให้ปริมาณการผลิตและขายในปีนี้ลดลงไปประมาณ 6 หมื่นตัน บริษัทวางแผนการผลิตใหม่ในเวียดนามเริ่มได้ในม.ค. 53 ส่วนกำไรอาจจะลดน้อยกว่ารายได้ เพราะวัตถุดิบราคาต่ำอยู่ในมือมากพอสมควร" นายคเนศ กล่าว
โดยปีนี้ ส่งออกเพิ่มขึ้นเป็น 50% จากปกติที่ส่งออกสัดส่วน 40-45% โดยส่งออกไปจีน ตุรกี ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และเวียดนาม
แต่ในปี 53 บริษัทคาดว่า รายได้จะเพิ่มขึ้นประมาณ 10% และมีกำไรดีกว่าปีนี้แน่ เนื่องจากคาดว่าปริมาณการผลิตและขายเพิ่มขึ้นมากกว่า 8 แสนตันจากปีนี้ขายได้ประมาณ 7.3-7.4 แสนตัน และราคาขายเฉลี่ยที่ 800 เหรียญ/ตัน
"มองว่าแนวโน้มราคาขายปีหน้าจะดี ปีหน้าคิดว่าเกิน 800 เหรียญ เพราะราคาน้ำมันดิบยังขึ้นแต่ก็ยังไม่เยอะ"
ทั้งนี้ ในปีหน้าบริษัทจะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น 10% เพราะในเวียดนามจะมีกำลังการผลิตเพิ่มเป็น 2 แสนตัน/ปี จาก 1 แสนตัน/ปี ส่วนในอินโดนีเซียมีกำลังการผลิต 1 แสนตัน/ปี และ ในไทยมีกำลังการผลิต 5 แสนตัน/ปี รวมทั้งหมดมีกำลังการผลิต 8 แสนตัน/ปี
*ลงทุนปิโตรฯคอมเพล็กซ์ 7 พันลบ.
สำหรับโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ ในเวียดนามที่บริษัทเข้าร่วมทุน กับ SCC นั้น นายคเนศ กล่าวว่า บริษัทได้เข้าลงทุนสัดส่วน 14-15% คาดว่าจะใช้เงินลงทุนในโครงการนี้ ราว 7 พันล้านบาท หรือ ประมาณ 200 ล้านเหรียญ จากมูลค่าโครงการทั้งหมด 4 พันล้านเหรียญ ที่แหล่งเงินจะมาจากส่วนทุน 1 ส่วนและ อีก 3 ส่วนมาจากเงินกู้จากสถาบันการเงิน
โดยจะทยอยลงทุนในปีแรก 500-600 ล้านบาท ซึ่งมาจากเงินทุนหมุนเวียนของบริษัท และทยอยเพิ่มขึ้นตามเนื้องาน ซึ่งคาดว่าแหล่งเงินจะมาจากเงินกู้ โดยโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ จะเดินหน้าก่อสร้างได้ในปี 53 คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 56 และจะเริ่มผลิตได้ในปี 57