โจเซฟ สติกลิตซ์ ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยโคลัมเบียในนิวยอร์กและเจ้าของรางวัลโนเบลมองว่า อัตราว่างงานในสหรัฐจะปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น รัฐบาลควรให้ความสำคัญและติดตามสถานการณ์ดังกล่าว ขณะที่การดีดตัวขึ้นของตลาดหุ้นนั้น ชี้ให้เห็นว่า นักลงทุนมีมุมมองที่กระตือตือร้นอย่างไม่สมเหตุสมผลนักเกี่ยวกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
สติกลิตซ์กล่าวต่อไปว่า ยังมีปัจจัยเสี่ยงอีกมากเมื่อพิจารณาจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์และผู้บริโภคที่ไม่สามารถชำระหนี้สิน เนื่องจากไม่มีงานทำ และถือเป็นปัจจัยเสี่ยงอย่างมากที่ตลาดคึกคักอย่างไม่สมเหตุสมผล
การแสดงความคิดเห็นดังกล่าวสอดคล้องกับศาสตราจารย์นูเรียล นูบินี ของมหาวิทยาลัยนิวยอร์กที่มองว่า ตลาดปรับตัวขึ้นมากเกินไปและเร็วเกินไป เช่นเดียวกับจอร์จ โซรอส ที่ออกมาเตือนว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐจะเป็นไปอย่างล่าช้าเป็นอย่างยิ่ง
สหรัฐมีผู้ว่างงานแล้ว 7.2 ล้านรายนับตั้งแต่เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอยเมื่อเดือนธ.ค. 2550 ขณะที่อัตราว่างงานเดือนก.ย.พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 26 ปี ด้านนักเศรษฐศาสตร์ที่บลูมเบิร์กได้สำรวจความคิดเห็นคาดการณ์ว่า อัตราว่างงานในสหรัฐมีแนวโน้มจะอยู่ที่ 10% ในช่วงสิ้นปีนี้
สติกลิตซ์ กล่าวต่อไปว่า สถานการณ์เศรษฐกิจมีแนวโน้มย่ำแย่เมื่อพิจารณาจากจำนวนพนักงานที่ถูกปลดออกจากตำแหน่ง การขยายตัวของเศรษฐกิจในปีนี้และปีหน้าจะยังคงห่างไกลจากที่เราต้องการและจำเป็นสำหรับการสกัดอัตราว่างงานไม่ให้ปรับตัวสูงขึ้นมากไปกว่านี้ โดยมีแนวโน้มว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะฟื้นตัวขึ้นก่อนที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐจะหมดอายุลงในปี 2554
ด้านโซรอสกล่าวว่า ผู้บริโภคสหรัฐเป็นหนี้สูงเกินไปและธนาคารสหรัฐที่ล้มละลายอย่างต่อเนื่องจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ดังนั้น เศรษฐกิจสหรัฐอาจต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะฟื้นตัว
รูบินีกล่าวว่า ตลาดมีความเสี่ยงที่จะมีการพักฐาน โดยเฉพาะเมื่อตลาดเห็นว่าการฟื้นตัวไม่ได้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและมีลักษณะการฟื้นตัวเป็นอักษรตัวยูมากกว่าตัววี