นายกัมปนาท โลหเจริญวนิช กรรมการอำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด (TNITY) เปิดเผยถึงการควบรวมกิจการว่า ทางบริษัทไม่ได้ปิดกั้นแต่อย่างใด ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทหลักทรัพย์หลายแห่งมีการพูดคุยเจรจากันอยู่เสมอๆ อย่างไรก็ดี การควบรวมต้องพิจารณาหลายองค์ประกอบทั้งจุดเด่น จุดด้อยของตัวเองและของพันธมิตร เพราะเมื่อรวมกันแล้วต่างฝ่ายต่างก็ต้องช่วยกันในการพัฒนาบริษัท ให้มีศักยภาพในการดำเนินธุรกิจกันต่อไปได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาและต้องหาพันธมิตรที่เหมาะสมกัน คาดว่าประมาณ 6 เดือน หลังเปิดให้มีการคิดค่าคอมมิชชั่นแบบขั้นบันได อาจเห็นการควบรวมของบริษัทหลักทรัพย์ต่างๆในธุรกิจนี้มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม คาดว่าภายในเดือนต.ค.นี้ ทางตลาดหลักทรัพย์ จะได้ข้อสรุปเกี่ยวกับอัตราค่าธรรมเนียมแบบขั้นบันไดที่ชัดเจนมากขึ้น ซึ่งไม่ว่าจะเป็นอัตราใดก็ตามหากปริมาณการซื้อขายไม่เพิ่มมากขึ้นย่อมส่งผลต่อบริษัทหลักทรัพย์ทุกแห่งให้มีรายได้ลดลงประมาณ 18%-20%
ทั้งนี้ บริษัทหลักทรัพย์ต่างๆ จำเป็นต้องปรับกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจใหม่เพื่อชดเชยรายได้ที่ลดลง เช่น พยายามขยายฐานลูกค้าใหม่ให้เพิ่มมากขึ้น โดยทั้งตลาดหลักทรัพย์ฯและบริษัทหลักทรัพย์ต่างๆ ต้องร่วมมือกันผลักดันให้มีปริมาณการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เพิ่ม หากเพิ่มขึ้นอีก 20% หรือให้เฉลี่ยอยู่ที่ 2.4 หมื่นล้านบาท/วัน
นอกจากนี้ บริษัทหลักทรัพย์ต่างๆ จะต้องพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินอื่นๆ ของบริษัทเพื่อเป็นการเพิ่มทางเลือกทางการลงทุนให้มากขึ้น
นายกัมปนาท ยังกล่าวอีกว่า ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาแนวโน้มสัดส่วนรายได้จากค่าธรรมเนียมซื้อขายอุพันธ์มีการเติบโตเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปี 51 ซึ่งเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 10% ของทั้งปี เนื่องจากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา บริษัทฯได้ปรับแผนการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อเตรียมพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นภายหลังจากการเปิดให้มีการคิดค่าคอมมิชชั่นแบบขั้นบันไดในเดือนม.ค.53
ทั้งนี้ บริษัทยังคงรักษาสัดส่วนรายได้จากธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ ให้อยู่ในเกณฑ์เฉลี่ยที่ประมาณ 60% ของรายได้ทั้งหมด และคาดการณ์ว่าในอนาคตธุรกิจนายหน้ามีแนวโน้มที่จะคงที่ หรือเติบโตช้าลงภายหลังจากการเปิดให้มีการคิดค่าคอมมิชชั่นแบบขั้นบันได จึงวางกลยุทธ์ที่จะรุกไปยังธุรกรรมการเงินอื่นๆ โดยเฉพาะด้านอนุพันธ์ โดยขณะนี้สัดส่วนรายได้ด้านอนุพันธ์มีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น โดยดูจากแนวโน้มตลาดอนุพันธ์ก็มีการเตบโตเพิ่มขึ้นจากรายได้ 1.82% ในปี 49 เพิ่มขึ้นมาเป็น 6.52% ในปี 50 และ 12.12% ในปี 51 และมีแนวโน้มสูงขึ้นในระดับที่น่าพอใจในสิ้นปีนี้