ทรีนิตี้ แนะเก็บหุ้นดีช่วงดัชนีพักฐานรอขายรับ January effect คาดดัชนีไปต่อปีหน้า

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday October 7, 2009 14:22 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นางวชิราลักษณ์ เลิศศิลปชัย นักวิเคราะห์ บล.ทรีนิตี้ แนะกลยุทธนักลงทุนอาศัยจังหวะดัชนีตลาดหุ้นไทยพักฐานปลายปีนี้เข้ามาเก็บสะสมหุ้นที่มีอนาคตดีรอขายในระยะปานกลาง โดยเฉพาะกลุ่ม commodity ปิโตรเคมี และ กลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการเติบโตของเศรษฐกิจ โดยประเมินว่าดัชนีตลาดหุ้นปลายปีนี้มีโอกาสร่วงลงไปต่ำกว่า 700 จุด ก่อนจะพุ่งในปี 53 ที่ไป 730-740 จุด และระยะยาวมีโอกาสไปได้ไกลถึง 750-900 จุด

นักวิเคราะห์ มองว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาส 4/52 จะยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นไปได้ที่ 744-760 จุด จากนั้นจะมีการพักฐาน และปรับตัวลดลงไปต่ำกว่า 700 จุด มาอยู่ที่ 666-686 จุด ในช่วงเดือน ต.ค.-พ.ย.จากผลกระทบค่าเงินดอลลาร์ที่อาจแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย และในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปี คาดว่าดัชนีจะปรับขึ้นไปต่อได้จากผลของ January Effect มาปิดที่ 700 บวก/ลบ 10 จุด

ต่อจากนั้นในปี 53 คาดดัชนีตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องไปใกล้จุดสูงสุดที่ 730-740 จุด โดยได้รับผลบวกเม็ดเงินลงทุนในโครงการไทยเข้มแข็ง ซึ่งจะส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยในปีหน้าให้เติบโตได้ 3.9% จากปี 52 ที่คาดว่าจะติดลบ 3.5% คาดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยปีหน้าน่าจะอยู่ที่ 660-680 จุด และในระยะยาวยังคาดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อีกไปที่ 750-900 จุด

นางวชิราลักษณ์ กล่าวว่า เม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติยังมีแนวโน้มที่จะไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง จากผลของเงินดอลลาร์อ่อนค่า แม้ว่าค่าเงินดอลลาร์อาจจะแข็งค่าขึ้นได้บ้างในช่วง 2 เดือนนี้จากความพยายามของรัฐบาลสหรัฐ แต่คงไม่อาจหยุดการไหลของเงินได้ คาดว่าในระยะกลางเงินบาทยังคงจะแข็งค่าต่อไป

ส่วนทิศทางราคาน้ำมันนั้น ในระยะสั้นน่าจะยังคงอยู่ที่ 60 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในช่วง 1-2 เดือนข้างหน้า เนื่องจากความต้องการน้ำมันช่วงไตรมาส 4/52 อ่อนตัวลงเพราะไม่ใช่ฤดูการผลิตเต็มที่ของภาคอุตสาหกรรม แต่จะเป็นฤดูของการจับจ่ายใช้สอยในช่วงเทศกาล และคาดว่าทั้งปี 53 ราคาน้ำมันจะอยู่ที่ 63 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล

นอกจากนั้น ยังมองว่าเศรษฐกิจไทยผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และคาดว่าเศรษฐกิจจะกลับมาเป็นบวกได้ตั้งแต่ไตรมาส 4/52 เกิดจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ขณะที่คาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)จะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.25% ไปจนถึงกลางปีหน้า ส่วนอัตราเงินเฟ้อคาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นในปีหน้าจากที่อยู่ในระดับต่ำในปีนี้

นางวชิราลักษณ์ กล่าวว่า กลยุทธการลงทุนที่สำคัญในช่วงที่ตลาดหุ้นยังผันผวน คือ ช่วงที่หุ้นปรับฐานลงมาจาก 700 จุด ให้หาจังหวะเข้าซื้อสะสมเพื่อรอขายในระยะปานกลางหรือช่วง January Effect หรือถือให้ยาวข้ามปี โดยแนะนำให้เลือกหุ้นในกลุ่ม commodity และกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการเติบโตทางเศรษฐกิจ

รวมทั้ง หุ้นที่น่าจะยังมีการเติบโตได้ดี คือ อะโรเมติกส์ทั้งต้นน้ำและปลายน้ำ โดยเฉพาะพาราไซลีน เพราะดีมานด์ของโลก 70% กระจุกอยู่ทีประเทศจีน ซึ่งนำไปใช้ผลิตเสื้อผ้าและโพลีเอสเตอร์ ขณะที่ซัพพลายใหม่ยังเกิดขึ้นยาก โดยเฉพาะจากกรณีการระงับโครงการในมาบตาพุด ทำให้คาดว่าซัพพลายใหม่จะเข้าสู่ตลาดโลกในไตรมาส 4/52 ราว 1.6 ล้านตัน จากกำลังผลิตในตะวันออกกลาง หลังจากนั้จะไม่มีเข้ามาเพิ่มนานถึง 11 เดือน หรืออาจจะเข้ามาเล็กน้อย 8.2 แสนตันในไตรมาส 4/53 หากกรณีมาบตาพุดคลี่คลายลง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ