ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (8 ต.ค.) หลังจากสหรัฐเปิดเผยยอดค้าปลีกที่ปรับตัวสูงขึ้น นอกจากนี้ นักลงทุนยังมีมุมมองที่เป็นบวกต่อตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคและผลประกอบการภาคเอกชน
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวก 61.29 จุด หรือ 0.63% แตะที่ 9,786.87 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดบวก 7.90 จุด หรือ 0.75% แตะที่ 1,065.48 จุด และดัชนี Nasdaq ปิดเพิ่มขึ้น 13.60 จุด หรือ 0.64% แตะที่ 2,123.93 จุด
ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 1.28 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นบวกมากกว่าหุ้นลบในอัตราส่วน 11 ต่อ 4 ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาด Nasdaq มีอยู่ราว 2.42 พันล้านหุ้น
ไมเคิล เฟเซอร์ นักวิเคราะห์จากบริษัท Zecco Trading กล่าวกับเอพีว่า ตลาดหุ้นนิวยอร์กขานรับรับรายงานที่ว่า ยอดค้าปลีกของห้างขนาดใหญ่ในเดือนก.ย.ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.1% เมื่อเทียบกับปีที่แล้วที่ดิ่งลง 1.0% และบริษัท อัลโค เปิดเผยว่าบริษัทสามารถทำกำไรได้เป็นครั้งแรกในรอบ 9 เดือน เนื่องจากการลดต้นทุนและยอดขายที่เพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรมรถยนต์
ตลาดได้รับป้จจัยบวกจากข้อมูลเศรษฐกิจที่สดใสของสหรัฐ รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานในช่วงสัปดาห์ที่แล้วลดลง 33,000 ราย แตะ 521,000 ราย ซึ่งเป็นสัญญาณที่บ่งชี้ว่าตลาดแรงงานสหรัฐถดถอยในอัตราที่ช้าลง เนื่องจากเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวขึ้น
นอกจากนี้ ตลาดยังคงได้รับแรงหนุนจากธนาคารกลางออสเตรเลียซึ่งเป็นประเทศแรกในกลุ่ม G20 ที่ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% เป็น 3.25% จากเดิม 3.0% สวนทางกับที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าจะคงดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 3% ทำให้เกิดความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวแล้ว
นักลงทุนจับตาดูผลประกอบการของบริษัทเอกชนอย่างใกล้ชิดนับตั้งแต่อัลโคเปิดเผยผลประกอบการที่ดีเกินคาด โดยบริษัทที่เตรียมเปิดเผยผลประกอบการในอีก 1-2 สัปดาห์ข้างหน้านี้รวมถึงบริษัทการเงินและบริษัทกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ นอกจากนี้ นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในวันศุกร์ โดยกระทรวงพาณิชย์จะเปิดเผยข้อมูลการค้าระหว่างประเทศเดือนส.ค.
รายงานยอดค้าปลีกที่ฟื้นตัวขึ้นช่วยหนุนหุ้นกลุ่มค้าปลีกดีดตัวขึ้น โดยหุ้นเจพี เพนนี ปิดบวก 0.7% และหุ้นทาร์เก็ต กรุ๊ป ปิดบวก 1.7% หลังจากบริษัททั้งสองปรับเพิ่มคาดการณ์ผลประกอบการในปีนี้ และรายงานยอดขายที่ลดลงน้อยเกินคาด ขณะที่หุ้นลิมิเต็ด แบรนด์สปิดบวก 3.9%
ส่วนหุ้นอัลโคปิดบวก 1% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่ดีเกินคาด และเนื่องจากราคาโลหะในตลาดโลกยังคงทะยานขึ้นอย่างต่อเนื่อง